เนื่องจากตำราเล่มปราบมารภาค ๕ ได้จัดพิมพ์กันเองภายในชมรม เป็นจำนวนจำกัดและยังมีเหลืออยู่บ้าง จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลายซื้อเป็นเจ้าของไว้ ราคาเล่มละ 200 บาท ราคานี้ คือราคาต้นทุนค่าพิมพ์ หักด้วยเงินเรี่ยไรภายในชมรมครับ หวังธรรมทานครับ มิได้หวังผลเพื่อกำไรเลย ชมรมนี้ทุกคนมีงานประจำมีรายได้เลี้ยงตัวครับโปรดอย่าได้มีอคติ
หากมีข้อข้องใจประการใดโปรดสอบถามครับ
หากต้องการสั่งซื้อกรุณาติดต่อ
คุณวันชัย 038 444-720

จุดประสงค์หลักของการนำเสนอหนังสือเล่มนี้บนเวบไซต์แห่งนี้เพื่อการทบทวนความรู้ ของวิทยากรภายในชมรม

ห้ามผู้ใดคัดลอกบทความบางส่วน หรือทั้งหมดของเนื้อหาที่ปรากฏบนเวปไซต์แห่งนี้ เพื่อการใดก็ตาม ด้วยเกรงว่า ผู้คัดลอกอาจเรียบเรียงใหม่ผิดพลาด ทำให้ผิดความหมายหรือเจตนาโดยรวม ฉะนั้น โปรดติดต่อผู้เขียน (เจ้าของลิขสิทธิ์) โดยตรง ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฏหมาย

 

ปราบมาร ภาค ๕

การเรียนวิชาธรรมกายนั้น ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของแต่ละบุคคล

ความสำคัญอยู่ที่การวางรากฐานความรู้ หากพื้นฐานความรู้เพี้ยนมาแต่ต้นแล้ว ก็จะเพี้ยนตลอดไป เพราะมารเขาจะตามประกบเพื่อให้ความรู้ของเราคลาดเคลื่อนอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญอยู่ที่มารเขาคอยแทรกซ้อนความรู้ เพราะเป็นการแย่งชิงอำนาจปกครองกัน พวกเราไม่รู้ชั้นเชิงของมาร ทำให้เราหลงตัวเองได้ง่ายๆ ดูตัวของข้าพเจ้าเองเป็นตัวอย่างก็ได้

ประวัติการเรียนวิชาธรรมกายของข้าพเจ้า ได้กล่าวแล้วในหนังสือ " ปราบมารภาค ๑ " ว่าเรียนมาอย่างไร ? เรียนมาจากใคร ? ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว สรุปแล้วก็เรียนมาจากแม่ชีทองสุข สำแดงปั้น ต่อมาชีวิตราชการของข้าพเจ้าต้องไปทำงานต่างจังหวัด ในตำแหน่งของศึกษาธิการอำเภอ ไปเป็นศึกษาธิการอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ได้พบแม่ชีถนอม อาสไวย์ ตั้งสำนักสอนวิชาธรรม-กายอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ข้าพเจ้าไปพบท่าน ไปเยี่ยมเยือนและทำความคุ้นเคยกับท่าน ในฐานะที่เรียนวิชาธรรม-กายด้วยกัน

แม่ชีถนอม อาสไวย์ ถามข้าพเจ้าว่าเรียนมาอย่างไร ? ก็เล่าให้ท่านฟัง และท่านขอร้องให้ข้าพเจ้าเล่าถึงการเดินวิชาด้วย พอจบการเล่าถึงวิชา ท่านก็พูดว่า ความรู้ไม่ผิด แต่ว่าเพี้ยนไป ! ขอให้ข้าพเจ้าตั้งต้นเรียนใหม่ ให้ถูกแนวของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อเพราะเรียนมาอย่างฝังใจ เรียนมานาน แต่ก็ไม่แสดงออกอะไร ? อยู่มาวันหนึ่ง ท่านให้ข้าพเจ้าเดินวิชา ๑๘ กายให้ท่านดู แล้วท่านก็แก้ไขวิชาให้ฟังทั้งหมด ตรงไหนเพี้ยน ? ตรงไหนถูก ? รวมความว่าข้าพเจ้าต้องไปเรียนแบบตั้งต้นกอไก่ใหม่ทั้งหมด

การทบทวนความถูกต้องทางวิชา ทำได้ไม่เท่าไร ? ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นแก่ชีวิตของข้าพเจ้า อยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้ามาจนถึงวันนี้ เหตุการณ์นั้นก็คือท่านเจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง คือพระวิฑิตธรรมภาณ สมณศักดิ์เจ้าคุณสามัญในปีนั้น อยู่วัดต้นสน อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง มอบหมายให้ข้าพเจ้าไปสอนการทำภาวนาแก่พระสงฆ์ที่มาอยู่ปริวาสกรรมที่วัดของท่าน มีจำนวนพระสงฆ์ถึง ๔๐๐ รูป ข้าพเจ้าเหงื่อแตก ! เพราะข้าพเจ้าไม่เคยสอน ! ไปปฏิเสธไม่รับเชิญต่อท่านแล้ว แต่ท่านเจ้าคณะจังหวัดฯ ท่านไม่ยอม เนื่องจากจังหวัดไม่มีวิทยากร ข้าพเจ้าจึงไปสอนโดยที่ข้าพเจ้าไม่มีความมั่นใจ พองานนี้ผ่านไป เลยเป็นเหตุให้จังหวัดต่างๆ เชิญข้าพเจ้าไปสอน ติดต่อกันมาไม่ขาดสาย มีการรวมพระสงฆ์ที่จังหวัดใด ? ท่านมักจะเชิญข้าพเจ้าไปสอน รวมเวลาสอนแล้วไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี

ถ้าแม่ชีถนอม อาสไวย์ ไม่ปรับปรุงความรู้ที่ถูกต้องให้ข้าพเจ้าก็ยังเดาไม่ออกว่า ผลการสอนจะออกมาในรูปใด ? จำได้ว่าพอแม่ชีถนอมท่านขัดเกลาความรู้ให้แล้ว ข้าพเจ้าสอนได้และแก้โรคได้ด้วย ในเรื่องแก้โรคนั้น ข้าพเจ้าทำไปได้อย่างไรไม่ทราบ ? ได้เงินมาจำนวนหนึ่งจากผู้ที่หายโรค ข้าพเจ้านำเงินนั้นมาทำห้องน้ำ ทำครัวถวายแม่ชี ยังจำได้ว่า ท่านพระครูอุปถัมภ์ฯ (อาจารย์สงัด แห่งวัดปากน้ำ ขณะนี้มีสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณชั้นเทพ มีราชทินนามว่า “ พระเทพโกศล ") ได้ส่งไม้กระดานไปช่วยข้าพเจ้าสร้างครัวให้แก่แม่ชีด้วย

นี่คือความทรงจำที่ข้าพเจ้าจำได้

บัดนี้ ข้าพเจ้าคิดได้ว่า ถ้าไม่มีแม่ชีถนอม อาสไวย์ข้าพเจ้าคิดว่า วันนี้ข้าพเจ้าคงอธิบายความรู้วิชาธรรมกายของหลวงพ่อทุกหลักสูตรไม่ได้ วันนี้คงไม่มีเรื่องปราบมาร แล้วหนังสือปราบมารทุกภาคก็เกิดขึ้นในโลกไม่ได้

นี่คือคุณของแม่ชีถนอม อาสไวย์ ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาธรรมกาย ไม่มีใครมีประวัติเหมือนท่าน

แสดงให้เห็นว่า วิชาธรรมกายเรียนมาจากหลวงพ่อด้วยกัน ได้ยินได้ฟังได้รับคำสอนมาอย่างเดียวกัน แต่เราผู้รับความรู้ ตีความไม่เหมือนกัน จึงเข้าใจต่างกันไป เข้าใจตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง ปฏิบัติตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง จึงมีการถ่ายทอดความรู้ไปตามความเข้าใจของเรา นี่คือข้อเท็จจริงที่เราได้พบ ข้าพเจ้าจึงเตือนว่า การเรียนวิชาธรรมกายขึ้นอยู่กับโชควาสนาของแต่ละบุคคล ใครคือผู้วางรากฐานความรู้ที่ถูกต้องให้แก่เรา ? นี่คือเนื้อหาสาระที่เราต้องทำความเข้าใจ

เพราะวิชาธรรมกายเรียนยาก มารเขาคอยจะหาโอกาสให้เพี้ยนได้เสมอ เพราะมารเขาคอยจังหวะจะแย่งอำนาจปกครอง เขาจะหาจังหวะเข้ามาแทรกซ้อนในวิชา หากเขาทำได้แปลว่าเขาได้อำนาจปกครอง เพราะเหตุนี้เราจะพบเสมอว่าพวกเรายึดถือเอาความเพี้ยนเป็นความถูกต้อง ข้าพเจ้าจึงกำชับให้ทุกท่านยึดตำราให้แม่นเข้าไว้ เพราะวิชาธรรมกายคือความรู้ชั้นสูงในศาสนา หากวิชาเพี้ยนจะส่งผลให้มรรคผลนิพพานล่มสลายได้ง่าย ข้าพเจ้าได้มารู้เห็นในตอนทำวิชาปราบมารนี่เอง

ดังนั้น ความรู้ที่ได้รู้เห็นจากการทำวิชาปราบมารนั้นเป็นความรู้ที่มีคุณค่ายิ่ง

เราจะได้ใครมาเป็นผู้วางรากฐานความรู้ที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้มาก บางท่านไม่เหมาะแก่การเป็นวิทยากร บางท่านไม่เหมาะแก่การเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้เข้าถึงวิชาที่แท้ ? เป็นเรื่องที่เราต้องคิดให้มาก

ข้อควรคิดคำนึงในการสอนและในการเดินวิชา

ในการสอนเบื้องต้นนั้น มีความสำคัญมาก ! เพราะเป็นการปลูกฝัง " รอยใจ " หากเราปลูกฝังได้ถูกต้อง ก็จะถูกตลอดไป หากผิดเพี้ยนก็จะเพี้ยนตลอดไป มีคติของฝรั่งต่างชาติน่าฟังเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นก็คือ ถ้าตั้งต้นถูกต้อง ก็เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดังนั้น จึงขอให้การวางรากฐานเกิดความถูกต้องให้จงได้ เพราะเป็นการสร้างรอยใจที่ถูกต้อง มารเขาก็ไม่ได้ช่อง ไม่ได้โอกาสที่จะแทรกซึมเข้ามาในใจ ถ้ามารเขาแทรกเข้ามาในรอยใจได้แล้ว ก็แปลว่าจะเกิดความเพี้ยนแน่นอน ต่อไปจะแก้ยาก

การสอนจะต้องค้นคว้าวิธี และต้องค้นคว้าเทคนิค หมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา อะไรที่ควรปรับปรุง ? อะไรที่ควรแก้ไข ? เป็นงานที่ผู้สอนจะต้องเรียนรู้ตลอดไป ตราบใดที่ท่านไม่ทำตามหลักที่ข้าพเจ้ากล่าว การสอนก็ยังหวังผลอะไรไม่ได้เลย

กลับมาดูการเดินวิชาบ้าง เป็นเรื่องสำคัญมาก ! การเชื่อมโยงวิชามีอยู่อย่างไร ? จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง จากความรู้หนึ่งไปสู่ความรู้อีกเรื่องหนึ่ง หากใช้ถ้อยคำผิดไปเพียงคำเดียว ทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไปทันที เกิดความเข้าใจแบบคาบลูกคาบดอก เป็นเรื่องที่ต้องระวังให้มาก โปรดจำไว้ว่า มารเขาคอยจังหวะจะแทรกเข้ามาในวิชาของเราตลอดเวลา สภาพใจของผู้สั่งวิชาจะต้องอยู่ในสภาพนิ่งแน่น ระวังการใช้ถ้อยคำ ดูจังหวะการเชื่อมโยงของวิชา อย่าพูดอะไรแบบส่งเดช อย่าพูดตามใจชอบ ให้นึกถึงความถูกต้องทางวิชาเข้าไว้ ความรู้เรื่องนี้หลวงพ่อกล่าวไว้ที่ใด ? ในตำราเล่มใด ? มีเนื้อหาสาระอะไร ? เรากล่าวเช่นนี้ถูกต้องตามเนื้อเรื่องของวิชาหรือไม่ ? จงนึกถึงเหตุผลอยู่เสมอ เพราะวิชาจะต้องเป็นเหตุเป็นผลแก่กันและกัน มีความเกี่ยวโยงกันอย่างไร ? อย่าได้กล่าวอะไรแบบเพ้อเจ้อ

สรุปเนื้องานและแสดงความคิดเห็นในเล่มปราบมารภาค ๕

การที่นำเนื้องานในปราบมารภาค ๕ มาสรุปใหม่ ก็เพื่อให้เห็นเรื่องราวเด่นชัด อย่าอ่านผ่านไปเฉย ๆ และพิจารณางานแต่ละเรื่องว่า ยากง่ายแค่ไหน ? และเกิดข้อคิดอะไร ? ในเรื่องของการเกิดข้อคิดนั้น ท่านไม่เกิดความคิดอะไร ? แต่ข้าพเจ้าเกิดความคิด ข้าพเจ้าจะแสดงความคิดเห็นของแต่ละเรื่องไว้ จึงนำเรื่องสำคัญมาสรุปย่ออีกครั้งหนึ่ง ดังนี้

 

๑. งานที่ตามต้นธาตุและต้นนิพพานเป็นกลับคืนมาได้ ๕ พระองค์

เราไม่คิดว่าเราจะได้มาพบเหตุการณ์เช่นนี้ ไปพบเข้าเองโดยบังเอิญ จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ ยังไม่พบอะไร ? หากเราไม่พบ ถามว่าพระองค์จะทุกข์ยากในสภาพเช่นนั้นไปอีกนานแค่ไหน ? เราก็เดาไม่ได้ และใครจะเป็นผู้ไปพบ ? ใครจะเป็นผู้ไปตามเอาพระองค์กลับคืนมา ? คนเก่งคนนั้นคือใคร ? พระองค์ถูกมารจับตัวไปนานแค่ไหนเพียงไร ? นี่คือความคิดของข้าพเจ้า คนเก่งของเราที่เราว่าเขาเก่งนั้น มีผลงานอะไรบ้าง ? ข้าพเจ้าดูมานานแล้ว ยังไม่พบคนเก่งคนนั้น ถ้าพวกเราเก่งให้ถูกทาง ข้าพเจ้าจะได้อนุโมทนา ทุกวันนี้ตั้งใจฟังความรู้ของคนเก่ง ตั้งใจฟังวิชาของคนเก่ง แต่แล้วก็ผิดหวัง และก็ต้องผิดหวังต่อไป

อีกความคิดหนึ่ง ข้าพเจ้ายังตอบคำถามไม่ได้ พระองค์ทรงมีกายมนุษย์ เหตุใดจึงสู้มารไม่ได้ ? ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ ส่วนนิพพานกายธรรมไม่มีกายมนุษย์ มีแต่กายธรรม เราไม่ข้องใจในประเด็นที่ว่า สู้มารไม่ได้ เพราะเรารู้ชัดอยู่แล้วว่ากายธรรมไม่มีกายมนุษย์รองรับ มีความเปราะบาง สู้มารไม่ได้ เปรียบเหมือนปูลอกคราบ เหมือนเต่าไม่มีกระดอง

มาถึงประเด็นที่ว่า ผลงานอย่างนี้ เป็นบุญหรือไม่ ? เป็นบารมีหรือไม่ ? ใครจะทำได้บ้าง ? หากเอามาเปรียบเทียบกับงานสร้างเจดีย์ งานสร้างวัด งานสร้างวัตถุทั้งหลาย เราเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ งานวัตถุทั้งปวงนั้น มีเงินแล้วสร้างได้ทั้งนั้น ไม่ต้องใช้ความรู้อะไร ?

นี่คือ ข้อคิดที่พวกเราต้องคิดกันให้มาก ผู้คนเกิดจำนวนมาก เขาต้องการพื้นที่ทำการเกษตร แต่นักบวชจ้องแต่จะก่อสร้างวัตถุ จนเกะกะบ้านเมืองของเขา พิจารณาดูแล้วไม่มีความจำเป็นอะไร ? ทำไมเราจะต้องเอาเงินไปละลายน้ำเล่นเช่นนั้น ? มารเขาได้ช่อง เขาก็บังคับคนเอาเงินมา แล้วประชาชนก็ขัดสน เพราะเอาเงินไปช่วยเขาก่อสร้าง ส่วนนักบวชก็ขาดความรู้ เพราะเอาเวลาศึกษาเล่าเรียนไปยุ่งกับงานก่อสร้างวัตถุ สรุปแล้วมารชนะทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะเขาทำให้คนยากจนได้ และทำให้นักบวชเพิ่มความโง่ขึ้น เป็นงานของมารเขา มารเขามีหน้าที่อย่างนั้น เราไม่รู้เหลี่ยมรู้เชิงของเขา เราก็ทำงานพลาด ชีวิตของเราหมดไป โดยไม่ได้ผลงานอะไรที่ควรแก่ชีวิตเลย

 

๒. งานที่ทำให้นิพพานมีดวงธรรม ๖ ดวงเกิดขึ้นมากมาย

จนเกิดวันวิสาขบูชาของนิพพาน

อย่าอ่านเพียงแต่ให้ผ่านไป โดยที่เราไม่พิจารณาอะไร ? และโดยที่เราไม่เกิดข้อคิดอะไรเลย ? การที่นำผลงานชิ้นนี้มากล่าวอีก ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ขอบข่ายงานปราบมารนั้น กว้างเกินกว่าที่เราคาดคิด เราไม่คิดว่าเราจะมาพบเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะหลักของการเดินวิชานั้น ต้องเข้าดวงธรรมเสมอไป กลางดวงธรรมจะมี " กลาง " และกลางนี้ก็คือ " จุดใสโตเท่าปลายเข็ม " เหตุใดดวงธรรมของนิพพานมีจำกัดเพียงแค่นั้น ? เป็นการจนปัญญาด้วยประการใด ๆ ที่เราจะแก้แล้ว

ดีแต่ว่าหลวงพ่อท่านสอนความรู้ไว้ ขอให้ท่านผู้คงแก่เรียนไปเปิดอ่านเล่ม " แนวเดินวิชาหลักสูตรวิชชามรรคผลพิสดาร ๑ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ " ในเรื่องของการทำกายมนุษย์พิเศษ และดูหนังสือ " ปราบมารภาค ๔ " ข้าพเจ้าได้อธิบายถึงขั้นตอนการทำวิชาไว้แล้ว ให้ท่านกลับไปทบทวนดูเนื้อหาสาระของวิชาเอาเอง ในเล่มนี้ ข้าพเจ้าจะไม่อธิบายถึงการเดินวิชา เพราะได้อธิบายไว้มากแล้วในเล่ม " ปราบมารภาค ๔ "

ในเล่มนี้เราจะมาพูดกันว่า นิพพานของภาคขาวเหตุใดจึงมีดวงธรรม ๖ ดวงจำกัดอยู่เพียงนั้น ? การมีดวงธรรมเพียงแค่นั้น บ่งบอกให้เราทราบอะไรบ้าง ? จงอธิบายออกมาให้ชัด จะแก้ไขให้นิพพานของเรามีดวงธรรมมากๆ ได้ไหม ? ถ้าแก้ไม่ได้ ส่งผลให้นิพพานของภาคขาวแพ้มารอยู่เช่นนั้นอีกต่อไป เพราะเราทราบชัดว่า ตั้งแต่ภาคขาวเริ่มต้นมีมรรคผลนิพพานมานั้น ก็แพ้มารมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถูกมารเขาปกครองมาตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้ มารกวาดต้อนเอาธาตุธรรมของเราไปเป็นเชลยทั้งพระพุทธองค์และจักรพรรดิ มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน มาระเบิดเอาดวงบารมีไปจากพระองค์ มีจำนวนที่เราจดจำไม่ไหว ดังที่ข้าพเจ้าได้รายงานมาแล้วในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ นั้น ขอให้ท่านกลับไปอ่านทบทวนดูใหม่ ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารมากี่ปีแล้ว ? ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังบรรยายวันนี้ เป็นการรบของปีที่ ๑๘

บัดนี้ เราแก้ให้นิพพานภาคขาวมีดวงธรรม ๖ ดวงมากขึ้นได้แล้ว ส่งผลให้นิพพานของภาคขาว ทั้งนิพพานเป็น (สอุปาทิเสส- นิพพาน) และนิพพานกายธรรม (อนุปาทิเสสนิพพาน) ตรัสรู้ธรรมในระดับอายตนะนิพพาน คือระดับปกครองใหญ่ได้ ในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ (ตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗) ธาตุธรรมท่านกำหนดให้วันนี้เป็น " วันวิสาขบูชาของนิพพาน " ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว การรบดำเนินติดต่อกันมา ครั้นมาถึงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ ต้นธาตุของนิพพานกายธรรมก็ประกาศอีกว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป ให้ผู้ได้มรรคผลนิพพานเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ไม่อนุญาตให้เข้านิพพานด้วยกายธรรมอีกต่อไป คือให้ใช้ระบบมรรคผลนิพพานแบบสอุปาทิเสสนิพพานตามเดิม ซึ่งเรื่องนี้ข้าพเจ้ารายงานไว้แล้ว แต่นำมาสรุปย่ออีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจติดต่อกัน

นี่คือ ดวงธรรม ๖ ดวง ซึ่งได้แก่

๑.) ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

๒.) ดวงศีล

๓.) ดวงสมาธิ

๔.) ดวงปัญญา

๕.) ดวงวิมุตติ

๖.) ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ

มีทั้งหยาบและละเอียด ที่ว่าละเอียดนั้น มีความหมายแค่ไหน ? ละเอียดเข้าไปเป็นเถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด และล ะเอียดเข้าไปอีก ในเถา-ในชุด-ในชั้น-ในตอน-ในภาค-ในพืด และละเอียดเข้าในไปอีก แต่ละอย่างนับไม่ถ้วนทั้งนั้น ดวงธรรมเหล่านี้ประกอบด้วย เห็น-จำ-คิด-รู้ และหุ้มด้วยดวงทาน-ศีล-ภาวนา แล้วก็หุ้มด้วยปิฎกธาตุปิฎกธรรม ประกอบด้วยสุตตันตปิฎก-วินัยปิฎก-อภิธรรมปิฎก และหุ้มด้วย อายุธาตุอายุธรรม-วรรณธาตุวรรณธรรม-สุขธาตุสุขธรรม-พลังธาตุพลังธรรม เป็นชั้นๆ เข้าไป แต่ละชั้นมีจักรพรรดิรักษาดวงธรรมเหล่านี้ ดวงธรรมเหล่านี้จึงเป็นทะเลรู้ทะเลญาณทัสสนะของพระพุทธองค์

การที่ดวงธรรมละเอียดเหล่านี้ถูกดับไป หมายความว่ามารเขามาดับทะเลรู้ทะเลญาณของพระพุทธองค์ในนิพพานเสียสิ้นส่วนดวงธรรม ๖ ดวงที่พระพุทธองค์มีประจำกายของพระองค์ในขณะนี้ ถือว่าดวงธรรม ๖ ดวงเหล่านี้เป็นสุดหยาบทั้งสิ้น ดังนั้น งานปราบมารมาถึงเหตุการณ์ตรงนี้ บ่งชี้ให้เราทราบอะไรบ้าง ? จงบรรยายออกมา

ตอบทันทีเลยว่า การที่ดวงธรรม ๖ ดวงถูกดับไป หมายถึงว่า ทะเลรู้ทะเลญาณของนิพพานถูกมารดับเสียสิ้น ส่งผลให้นิพพานรู้เห็นได้จำกัด รู้เห็นได้แต่ที่หยาบๆ ในส่วนที่ละเอียดนั้น เราไปรู้เห็นไม่ได้ เพราะสื่อแห่งการเห็นประเภทละเอียดถูกมารดับหมดไป เราอยู่ในฐานะคนสายตาสั้น และมารเขาเป็นคนสายตายาว เวลาชกต่อยกัน คนสายตาสั้นแพ้วันยังค่ำ นั่นเอง

เพราะเรื่องราวเป็นอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า มารเขารู้เห็นของเราจนหมดสิ้น แต่เราไม่รู้เห็นอะไรของฝ่ายเขาเลย คือเขารู้เรา แต่เราไม่รู้เขา ภาคขาวจึงแพ้มารอย่างราบคาบตั้งแต่ต้นมือมาแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรหรือ ? เป็นเพราะมารเขาดับทะเลรู้ทะเลญาณของเราได้ ท่านก็ถามข้าพเจ้าอีกว่า จักรพรรดิที่รักษาดวงธรรมเหล่านั้นไปไหน ? ทำไมไม่รักษาไว้ให้ดีเล่า ? ปล่อยให้มารมาดับได้อย่างไร ? นี่คือคำถามที่ท่านทั้งหลายถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตอบอย่างไร ?

มารเดินวิชามาถึงขั้นมาดับทะเลรู้ทะเลญาณของภาคขาวได้นั้น จักรพรรดิที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาดวงธรรมเหล่านั้น ท่านต่อสู้เต็มกำลังแล้ว แต่สู้ไม่ได้ บางส่วนหนีไปเพื่อเอาตัวรอด บางส่วนซ่อนตัวอยู่ นี่คือความรู้ที่ข้าพเจ้าได้รู้เห็น หากข้าพเจ้ายังตอบไม่ชัด ก็รอไว้ตอบในเล่มปราบมารภาคต่อไป วันนี้ขอตอบแค่นี้ก่อน จะรู้เห็นได้แต่ละอย่าง ดูว่ายากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน

เรื่องราวของดวงธรรม ๖ ดวงนี้ ยังไม่ยุติแค่นี้ สุดละเอียดของดวงธรรม ๖ ดวงจะมีอยู่อย่างไร ? และแค่ไหนนั้น ? ยังตอบไม่ได้ เพราะเมื่อเดินวิชาไปแล้ว ยังพบเหตุการณ์ว่า ดวงธรรม ๖ ดวงไม่มีอีกแล้ว เราก็ทำวิชาสร้างกายมนุษย์พิเศษอีก แล้วก็เกิดดวงธรรมมากขึ้นอีก เหตุการณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่อีก เหตุการณ์จะสิ้นสุดเมื่อไร ? ยังตอบไม่ได้ ต้องทำวิชาต่อไปอีก นี่คือคำตอบชัดเจนแล้ว

มีอะไรเป็นลางบอกเหตุให้เรารู้ว่า ดวงธรรม ๖ ดวงจะไม่มี ?

๑. สภาพใจไม่หยุดนิ่งแน่นจริง

มักไปนึกอะไรที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวโดยที่เราไม่คาดฝันไว้ก่อน อยู่ดีๆ ก็นึกส่งเดชขึ้นมาเอง แม้เราตั้งใจใหม่ เดี๋ยวสภาพใจก็ไปประหวัดเรื่องอะไรที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอีก นี่คือลางบอกเหตุว่า ตรงนี้คือจุดที่ดวงธรรม ๖ ดวงของนิพพานถูกมารดับอีกจุดหนึ่งแล้ว ให้เราเดินวิชาทำกายมนุษย์พิเศษตรงจุดนี้ทันที การที่ใจของเราประหวัดไปในเรื่องราวต่างๆ นั้น เป็นเพราะมารละเอียดเขาเข้ามา หุ้ม-เคลือบ-เอิบ-อาบ-ซึม-ซาบ-ปน-เป็น-สวม-ซ้อน-ร้อยไส้ ที่ " ใจ " ของเราแล้ว จนถึงขั้นบังคับ " ใจ " ของเราได้หมดแล้ว จะให้เราคิดอะไรและนึกอะไร ? เป็นไปตามความต้องการของมารเขาแล้ว ผลที่เกิดแก่เราก็คือ เกิดความล่าช้าในการทำวิชา มารเขาก็เดินวิชาออกหน้าเราไป เพราะเรามัวไปคิดเรื่องบ้าบอคอแตกอะไร ? นั่นเอง

๒. กำลังของ " ใจ " ถดถอยลง

พอเรารู้ตัวว่ากำลังของใจเริ่มถดถอย ขอให้ทราบเถิดว่า มารระดับละเอียดเขาสู้เราเต็มที่แล้ว เขาเข้ามาระเบิดดวงกำลังของเราแล้ว วิธีแก้ของเราก็คือ รวมสติใหม่ ! รวมกำลังใหม่ ! ให้เกิดสภาพใจที่มั่นคง เดินวิชาไปใหม่ สู้กันใหม่ จงให้กำลังใจแก่ตัวเอง ไม่มีใครช่วยเราได้ คนที่จะช่วยเราได้คือตัวเราเท่านั้น อบรมใจของเราให้สู้เข้าไว้ อย่าแพ้ ! ถ้าเราแพ้เพียงคนเดียว ก็แปลว่าแพ้กันทั้งหมด ปราบมารมันยากตรงนี้ ถ้าเราแพ้เพียงคนเดียวเท่านั้น ก็แปลว่าแพ้กันทั้งหมด เราเพียงผู้เดียวคือเป้าหมายสำคัญที่มารทุกประเภทและทุกชนิดที่เขาจะมารุมเรา เพื่อให้เราแพ้เขาให้จงได้ เขาบดขยี้ทางใดได้ เขาทำทั้งนั้น จะเอาเงินเท่าไรบอกเขา จะเอาสาวงามเท่าไร ? จะเอาอำนาจล้นฟ้า ? จะเอายศถา-บรรดาศักดิ์อะไร ? จงบอกมา มารเขาจัดให้ได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียว ขอให้มารเขาชนะเราก็แล้วกัน นี่คือ คติประจำใจของมารทุกประเภทและทุกชนิด ขอให้เราทราบชั้นเชิงของมารไว้ตั้งแต่วันนี้

แต่วิธีของมารมาใช้กับคนอย่างข้าพเจ้าไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไร ? สมัยที่รับราชการนั้น เพื่อนๆ เขาได้ดีกันหมด ยกเว้นข้าพเจ้าคนเดียว ข้าพเจ้าก็ไม่ว่าอะไร ? เขาได้ตำแหน่งหน้าที่กัน แต่ข้าพเจ้าก็ทำงานตำแหน่งเดิม ทั้งที่ข้าพเจ้าขยันราชการ แต่ความชอบไม่ได้ เขาได้เงินกัน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ เขารวยกัน แต่ข้าพเจ้าไม่รวย เขามั่งมีกัน แต่ข้าพเจ้าขัดสน เขามีบ้านใหญ่ แต่ข้าพเจ้ามีบ้านน้อย ถ้าโชคดีอย่างเขาทั้งหลาย ตำราปราบมารจะเกิดขึ้นในโลกไม่ได้ นี่คือชีวิตของคนปราบมาร หากไม่อดทนอย่างนี้ เราจะปราบมารมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?

ดวงธรรม ๖ ดวงของนิพพานที่เกิดใหม่ตามวิธีนี้ เราเชื่อถือได้หรือยัง ?

๑. ดวงธรรม ๖ ดวงคืออะไร ?

ตอบว่า ดวงธรรม ๖ ดวงคือ ดวงเบญจขันธ์ นั่นคือกายกับใจ (ใจคือ เห็น-จำ-คิด-รู้) หุ้มด้วยอะไรบ้าง ? ตอบว่าหุ้มด้วย ดวงทาน-ดวงศีล-ดวงภาวนา แล้วหุ้มด้วยปิฎกธาตุปิฎกธรรม ไส้กลางคือ อะไร ? คือ อายุขัย-วรรณะ-สุขะ-พละ [อายุขัยธาตุอายุขัยธรรม-วรรณะธาตุวรรณะธรรม-สุขธาตุสุขธรรม-พลังธาตุพลังธรรม (กำลัง ดวงกำลัง)] รวมกันหมดเรียกว่า ทะเลรู้ทะเลญาณของนิพพานของธรรมภาคขาวทั้งปวง

 

๒. ดวงธรรม ๖ ดวงที่เกิดใหม่นี้ เราเชื่อถือได้หรือยัง ?

ตอบทันทีว่า เรายังเชื่อไม่ได้ เพราะเหตุใดจึงเชื่อไม่ได้ ? ตอบว่า เพราะแพ้มารมาแล้ว ! เราต้องเอามาพัฒนาก่อน เอามารบดูก่อน ให้ป้องกันตัวเองได้ เอามาทำให้เป็นธาตุตรัสรู้ธรรมตรัสรู้ ให้เป็นธาตุเป็นธรรมเป็น ให้เป็นธาตุชนะธรรมชนะ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็จะต้องแพ้มารเขาอีก เพราะประวัติไม่ดีมาแล้ว คือเคยแพ้มาแล้ว ต่อมาก็ถึงประเด็นที่ว่าจะเดินวิชาอย่างไร ? เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าพเจ้าทำอยู่แล้ว วิธีเดินวิชาทำอย่างไร ? ข้าพเจ้าบรรยายไว้มากมายแล้ว ให้กลับไปอ่านเล่ม " ปราบมารภาค ๔ "

สรุปผลงานตามข้อ ๒ เรื่องดวงธรรม ๖ ดวง ขอจบผลงานไว้เพียงนี้

เมื่อเกิดดวงธรรม ๖ ดวงแล้ว ส่งผลให้เกิดวันวิสาขบูชาของธาตุธรรม คือพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ได้ในระดับปกครองใหญ่ ต่อมาเกิดเหตุการณ์ธาตุธรรมประกาศให้ผู้ได้มรรคผลนิพพานเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ให้ใช้ระบบมรรคผลนิพพานแบบสอุปาทิ-เสสนิพพาน และต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าตกใจมาก ! เหตุการณ์นั้นคืออะไร ? คือวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เป็นวันที่ธาตุธรรมประกาศมอบอำนาจปกครองใหญ่ให้แก่ " ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู "

เรื่องของ " ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู " มีอย่างไร ? ท่านคงอ่านผ่านมาหมดแล้ว ในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ ข้าพเจ้าจะไม่เล่าซ้ำอีก

รวมความว่า ผลงานของการปราบมารในปกครองใหญ่คือการรบในอายตนะนิพพาน หรือพูดเป็นที่เข้าใจอย่างง่ายว่าการรบในนิพพาน ได้ผลงานตามที่ข้าพเจ้าสรุปมานี้ ต้องว่าเป็นผลงานเกินการคาดหมาย ทำไปได้อย่างไร ? ข้าพเจ้าก็ตอบไม่ได้

การปราบมารในขั้นตอนนี้ไม่พบเหตุการณ์ที่เคยพบ

นั่นคือ ประการแรก ไม่พบพระพุทธองค์และจักรพรรดิที่มารจับไปกักกัน หรือเอาไปทรมาน ไม่พบเหตุการณ์เช่นนี้อีก และประการที่สอง ไม่พบดวงบารมีที่มารระเบิดไปจากภาคขาวเหตุการณ์เช่นนี้ไม่พบอีกในการรบระยะนี้ เป็นเพราะอะไร ? ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้าเดาว่า เราติดตามเอาธาตุธรรมของเราที่มารจับตัวไปเป็นเชลยกลับได้หมดแล้ว และรวมถึงการติดตามเอาทรัพย์สินของภาคขาวที่มารมาระเบิดเอาไป นั่นคือดวงบารมีของภาคขาวทั้งหมด ข้าพเจ้าเดาว่าตามนำกลับมาได้หมดแล้ว จึงไม่พบอีก

ต่อคำถามที่ท่านอยากถามข้าพเจ้าว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงติดตามเอาธาตุธรรมของเรากลับได้หมด ? ข้าพเจ้าไม่รู้จะตอบอย่างไร ? ข้าพเจ้าขอพูดว่า เป็นวิถีทางการปราบมารที่จะต้องไปพบเช่นนั้น ถ้าเราไม่ปราบ เราก็ไม่พบอะไร ? แต่เมื่อเราปราบ เราต้องดับมารทั้งหมดที่ขวางหน้าเรา แบบใครดีใครอยู่ ไม่มีการปรานีกันแล้ว เขาพลาด เขาก็ถูกเราดับ และถ้าเราพลาด เขาก็ดับเรา เรื่องก็มีเท่านี้เอง นี่คือการรบ นี่คือการปราบ ต่างฝ่ายต่างทำลายล้างกันด้วยวิชาธรรมกายชั้นสูง มารเขาก็มีวิชาธรรมกายชั้นสูงในฝ่ายของมาร และภาคขาวก็มีวิชาธรรมกายชั้นสูงในฝ่ายของภาคขาวเช่นเดียวกัน

ขณะนี้งานปราบมารในนิพพานยังทำอยู่ต่อไป และเริ่มรบในภพ ๓ แล้ว

ผลงานปราบมารในปกครองใหญ่ ได้ผลงานน่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่งานปราบมารในภพ ๓ ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ผลงานปราบมารในปกครองใหญ่ ได้ผลน่าพอใจ มีผลงานอย่างไร ? ได้รายงานแล้ว แต่ผลงานยังไม่ถึงขั้นสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เมื่อไรมารในนิพพานจะหมดจริงๆ ? ยังตอบไม่ได้ ดังนั้น งานปราบมารในปกครองใหญ่ คือการรบในนิพพานยังต้องทำต่อไป

งานปราบมารในปกครองย่อย คือการรบในภพ ๓ ได้แก่การรบในอรูปพรหม ๔ ชั้น ในพรหม ๑๖ ชั้น ในสวรรค์ ๖ ชั้น และในมนุษยโลกนั้น เพิ่งเริ่มเดินวิชามารบ เมื่อเร็วๆ นี้ ผลงานการรบในภพ ๓ ยังไม่มีผลงานอะไรเลย ท่านถามว่ามีวิธีเดินวิชาอย่างไร ? ข้าพเจ้าไม่ทราบจะตอบอย่างไร ? การจะมารบในภพ ๓ จะกระทำเมื่อไร ? ข้าพเจ้าก็ตอบไม่ได้ เพราะเมื่อเดินวิชาเข้าแล้ว วิชาจะดำเนินไปเป็นแบบอัตโนมัติ พอได้จังหวะ ก็เลื่อนมารบในภพ ๓ ยังไม่ได้จังหวะ ก็ยังไม่ลงมา คงรบแต่ในนิพพานเพียงอย่างเดียว การรบในนิพพานนั้น ใช้เวลา ๑๗ ปี พอเวลาเข้าปีที่ ๑๗ จึงมารบในภพ ๓ ได้

การรบในภพ ๓ นั้น เป็นการเดินวิชาให้กำเนิดเดิมของผู้คนในภพนั้น ขาวใสขึ้นมา กำเนิดเดิมนั้น เมื่อทำให้ใสในวันนี้ รุ่งขึ้นเกิดไม่ใสขึ้นมาอีก เพราะมีผู้ทำให้ขุ่น ผู้ทำก็คือมาร ยังหาตัวตนของมารผู้ทำวิชาไม่พบ ไม่ทราบว่าซ่อนธาตุธรรมอยู่ที่ใด ? เพราะมารในนิพพานหนีมาอยู่ในภพ ๓ และมารจากภพ ๓ หนีเข้าไปในนิพพาน มารเขาใช้วิธีถ่ายเทกำลังพลของเขาอย่างนี้ ยังไล่กันไม่ทัน เขาหนีจากเหตุหนึ่งไปสู่อีกเหตุหนึ่งเสมอมา เราต้องสู้กันจนกว่าหนีรู้หนีญาณของเราไม่พ้น เราต้องจับตัวตนมาดับให้หมด จึงจะหมดเชื้อ ถามว่าเมื่อไรมารจะหมด ? ข้าพเจ้าตอบไม่ได้ หน้าที่ของข้าพเจ้าก็ต้องรบต่อไป เพราะธาตุธรรมท่านกำหนดหน้าที่ให้ข้าพเจ้ารบ ข้าพเจ้าก็ต้องอดทนรบต่อไป ต่อเมื่อมีผลงาน จึงจะนำผลงานมาเสนอในโอกาสนั้น

ขอเล่าถึงการเดินวิชาพอสังเขป เมื่อเดินวิชารบในนิพพานเสร็จแล้ว หมายความว่า นิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น รวมทั้งจักรพรรดิในนิพพานทั้งหมด รวมกันเป็น " หนึ่งเดียว " ตามแนววิชาซ้อนสับทับทวีที่หลวงพ่อท่านสอน เป็นการรวมรู้รวมญาณกันทั้งหมด ส่งรู้ส่งญาณมาที่กำเนิดของภพของอรูปพรหม ๔ ชั้น สับกำเนิดชั้นที่ ๑ มาที่ชั้น ๒ และสับชั้นที่ ๒ มาที่ชั้น ๓ แล้วสับชั้น ๓ มาที่ชั้น ๔ จากนั้นซ้อนชั้น ๔ มาที่ชั้น ๓ มาที่ชั้น ๒ แล้วซ้อนชั้น ๒ มาที่ชั้น ๑ แล้วสับดวงธรรมของสมาชิกในภพทั้งหมด ให้ไปในทิศทางเดียวกัน สับดวงธรรมของกายหยาบเข้าหากายละเอียดของเขาเป็นลำดับไป ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดของเขา สับเข้าดวง-ธรรมของกายทิพย์หยาบ จากทิพย์หยาบเข้าหากายทิพย์ละเอียด เป็นลำดับไป...ฯ จนถึงกายธรรมพระอรหัตละเอียดของเขา กายเถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด...ฯ ละลายดวงกำเนิดเดิมให้ขาวใสทั้งหมดของทุกกายของเขา แล้วทำวิชาปฏิโลมกลับซ้อนจากกายพืดถอยหลังมาที่กายภาค ..ตอน ..ชั้น ..ชุด ..เถา ..พระอรหัตละเอียด ถอยหลังมาถึงกายมนุษย์ละเอียดของเขา ขณะที่ทำดวงธรรมให้ขาวใสนั้น ถ้าพบมารก็ทำวิชาดับทันที

เสร็จจากอรูปพรหม ๔ ชั้น ก็มาทำให้แก่พรหม ๑๖ ชั้น แล้วมาทำที่สวรรค์ ๖ ชั้น จากนั้น จึงเดินวิชามาทำให้แก่มนุษยโลกต่อไป

นี่คือ แนวเดินวิชาย่อๆ ที่ทำอยู่ในขณะนี้ ในโอกาสต่อไปจะทำอย่างไรอีก ? ยังตอบไม่ได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับกาลข้างหน้าว่าเราจะพบอะไร ? เพราะวิชาเป็นอัตโนมัติ เปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์

เนื้อหาสาระก็คือเรื่องกำเนิดเดิมนั้น ต้องทำให้ใสเข้าไว้ เมื่อกำเนิดเดิมใสแล้ว ส่งผลให้ดีทั้งหมด เพราะมารเขาปกครองกำเนิดเดิมของเรา ไม่ว่าอะไรมารเขากำกับอยู่ที่กำเนิดเดิมทั้งนั้น ภาคขาวเป็นผู้ทำกำเนิดเดิมให้ขาว ตามกำลังของบารมีของแต่ละบุคคล แต่มารเขาเอาดวงดำมาหุ้มดวงกำเนิดที่ภาคพระทำไว้อีกทีหนึ่ง เราต้องไปรบกับผู้ปกครองกำเนิดเดิมให้จงได้ หมดกายผู้ปกครองเมื่อไร ? เราก็ชนะเด็ดขาดในวันนั้น

นี่คืองานอันแสนยากที่ข้าพเจ้าต้องฝ่าฟันต่อไป เพราะธาตุธรรมกำหนดหน้าที่ให้ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำต่อไป งานปราบมารมันยากเย็นเข็ญใจอย่างนี้ ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า ในโลกของเรานี้มีประชากรหกพันล้านคน ถ้ามีใครคนหนึ่งทำวิชาปราบมารได้ โลกนี้ก็น่าอยู่น่าอาศัยแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้ขอมาก ขอเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งโลกข้าพเจ้าไม่ได้ขอมากเลย ข้าพเจ้าขอเพียงคนเดียวเท่านั้น

มีอยู่วันหนึ่ง มีคนเล่าให้ฟังว่า อาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมาก บอกว่าอาจารย์ท่านนี้ปราบมารได้ พอเขาคนนี้เอ่ยนาม ข้าพเจ้าก็บอกว่าปราบไม่ได้ เขาก็ถามข้าพเจ้าว่าเป็นเพราะอะไรจึงปราบไม่ได้ ? ข้าพเจ้าก็บอกว่าวิชาของท่านเพี้ยนหมดแล้ว เขาก็ถามต่อไปว่า ทำไมความรู้เพี้ยน ? ข้าพเจ้าก็บอกว่า อาจารย์ท่านนี้ใฝ่รู้จริง ข้าพเจ้าไม่เถียงเลย ขอถามตรงๆ หน่อยได้ไหม ? เคยเห็นท่านเปิดตำราทบทวนความรู้บ้างไหม ? พระสงฆ์ยังต้องลงอุโบสถฟังพระปาฏิโมกข์ทุกเดือน เพื่อตรวจสอบศีล ตรวจสอบวินัย แต่วิชาธรรมกายละเอียดและลึกซึ้งกว่านั้น ถ้าเราไม่ทวนกับตำรา ความรู้ก็เพี้ยนโดยไม่รู้ตัว

แล้วข้าพเจ้าก็อธิบายเพิ่มเติมว่า วิชาธรรมกายเป็นของสูง เป็นวิชาชั้นสูง มารเขาคอยสอดแทรกอยู่ ไม่ให้เราเข้าถึง เพราะเป็นการแย่งอำนาจปกครองกันระหว่างภาคขาวกับภาคมาร มารเขารู้ว่าใครมีบารมีจะปราบเขาได้ ? เขามีวิธีป้องกันไม่ให้เราเข้าถึงวิชา นั่นคือตัดไฟแต่ต้นลม เราจะเอาเงิน เขาจัดให้ได้ เราจะเอายศถาบรรดาศักดิ์ เขาจัดให้ได้ เราจะเอาชื่อเสียง เขาบังคับคนมาหาเราได้ พอเราไปสนใจสิ่งเหล่านั้น แปลว่าเราหลงตัวเองแล้ว วิชาเราไม่ก้าวหน้า ยิ่งเราไม่เปิดตำรา ก็ยิ่งเข้าสูตรของมารทันที แล้วจะว่าเราปราบมารได้อย่างไร ? เราเป็นฐานทัพให้มาร ทำไมไม่พูดอย่างนั้น ? ผู้คนยากจนเพิ่มขึ้นเพราะเราเอาเงินชาวบ้านมาละลายน้ำเล่น ไม่ใช่ฐานทัพของภาคขาวเสียแล้ว ไม่ใช่ทำงานเพื่อภาคขาวเสียแล้ว ธาตุธรรมของเราเปลี่ยนไปแล้ว โดยที่เราไม่รู้ตัว มารเขาไม่โง่ เขามีวิธีเอาชนะเรา เพราะเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงพูดว่า คนในโลกมีหกพันล้านคน หากมีคนหนึ่งปราบมารได้ โลกนี้ก็น่าอยู่น่าอาศัย

เมื่อฟังเหตุผลที่ข้าพเจ้าชี้แจงแล้ว ท่านก็เกิดความเข้าใจ

งานปราบมารตั้งแต่อดีต ไม่ประสบความสำเร็จเลย ธาตุธรรมทรงบอกให้ข้าพเจ้าทราบ

ข้าพเจ้านำเรื่องราวมาเสนอแล้ว เราอ่านผ่านมาแล้วในบทต้นๆ ถ้าเราไม่นำคำกล่าวของธาตุธรรมมาพิจารณา เราจะไม่เกิดปัญญาอะไร ? เสียประโยชน์ต่อท่านที่ศึกษาเล่าเรียน หากจะแสดงความคิดเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะนำความรู้อะไรมากล่าว เพราะงานปราบมารที่ข้าพเจ้าทำอยู่ขณะนี้ ยังไม่เสร็จสิ้น

โปรดอย่าถือว่าผิดหรือถูก ไม่ใช่การตอบคำถาม แต่เป็นการคุยสู่กันฟัง ถ้าเป็นไปตามที่ข้าพเจ้าร้องขอนี้ ข้าพเจ้าก็อยากคุยด้วย เพราะอย่างน้อยก็เป็นการเพิ่มปัญญาแก่ท่านที่ศึกษาเล่าเรียน เพราะคำกล่าวของธาตุธรรมมีคุณค่าสูง ควรที่เราต้องนำมาพิจารณา

ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้แล้วในตำราของข้าพเจ้าว่า ในสากลโลกในสากลธรรมนี้ มีสำคัญเรื่องเดียว คือเรื่องปราบมาร ปัญหาของนิพพานเกิดจากการที่มารเข้ามายึดอำนาจปกครองนั้นเกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อมรรคผลนิพพานของธรรมภาคขาวจนถึงขั้นมารเขาปฏิวัติระบบมรรคผลนิพพานของธรรมภาคขาวเสียใหม่ ซึ่งแต่เดิมนั้น ผู้ได้มรรคผลนิพพานของภาคขาวต้องเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ คือใช้ระบบมรรคผลนิพพานแบบสอุปาทิเสสนิพพาน มารเขาก็ทำวิชาปกครองบังคับให้เราเข้านิพพานด้วยกายธรรม คือให้ใช้ระบบมรรคผลนิพพานแบบอนุปาทิเสสนิพพาน ความเสียหายใหญ่หลวงมีอย่างไร ? เราท่านเข้าใจเป็นอันดีแล้ว เพราะอ่านมาแล้วอย่างโชกโชน ข้าพเจ้าไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก

เรื่องการแก้ไขนั้น ถามว่าธรรมภาคขาวแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ?

ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้ในตำราของข้าพเจ้าแล้ว หากท่านจำได้ ท่านก็ยืนยันว่า ธาตุธรรมผู้ใหญ่ในนิพพานท่านส่งคนของท่านลงมาเกิด เพื่อให้มาทำวิชาปราบมาร เพื่อแก้ปัญหานี้

นี่คือ วิธีแก้ปัญหาของธรรมภาคขาว

ยุคที่เรารู้เรื่อง ก็คือยุคของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ยุคอื่นๆ เราไม่รู้ไม่เห็นเลย

เกี่ยวกับยุคของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าทราบเรื่องจาก " ต้นนิพพานเป็น " ทรงบอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า การปราบมารมีมาในอดีต พระองค์ไม่ทรงยอมรับ ทรงกล่าวเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๒ (สมุดบันทึกเล่มที่ ๒๔ หน้า ๒๗) และกายธรรมของหลวงพ่อบอกให้ข้าพเจ้าทราบอีกคราวหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๓ (สมุดบันทึกเล่มที่ ๒๕ หน้า ๑๓๘) เนื้อหาสาระก็คือเล่าว่างานปราบมารตั้งแต่อดีตไม่ประสบความสำเร็จ

นี่คือ สรุปย่อรับสั่งของธาตุธรรมผู้ใหญ่ของนิพพานของภาคขาว

ข้าพเจ้าก็บอกได้แค่นี้ รายละเอียดที่ว่าทำมากี่ยุคกี่สมัย ? ใครเป็นผู้มาทำบ้าง ? ทำอย่างไร ? ได้ผลงานอะไร ? เดินวิชาอย่างไร ? ใครเป็นผู้อำนวยการทางวิชาบ้าง ? เราไม่ทราบทั้งนั้น เรารู้แต่สรุปย่อที่ธาตุธรรมท่านบอกเท่านั้น

เกี่ยวด้วยคำกล่าวของธาตุธรรม ที่บอกเรื่องย่อแก่เราว่างานปราบมารในอดีตไม่ได้ผล เราจะคุยกันอย่างไรให้เกิดปัญญา ? หากปล่อยให้เรื่องผ่านสายตาไปเฉยๆ ย่อมจะเสียประโยชน์ต่อผู้ศึกษาเล่าเรียน นี่คือประเด็น

ข้าพเจ้าบอกแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถาม แต่ข้าพเจ้าขอคุยด้วยเท่านั้น เพื่อให้เกิดปัญญาแก่ผู้ศึกษาเล่าเรียน

เหตุใดงานปราบมารในอดีตจึงไม่ได้ผล ?

เราจะยกอะไรมาเป็นข้อที่ควรพิจารณา ข้อที่เรายกขึ้นมา จะต้องมีเหตุผลที่ฟังได้ ไม่ใช่อยากพูดอะไรก็พูดส่งเดชไป ข้าพเจ้า ขอพูดด้วย ดังนี้

๑. เราเดินวิชาไปสุดนิพพานหรือเปล่า ?

เรื่องนี้ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในเล่มปราบมารภาค ๑ แล้ว ข้าพเจ้าจำได้ว่า ถ้าเราเดินวิชาไปไม่สุด เราจะไม่มีงานทำ ต้องไปให้สุดก่อนอื่นใด เพื่อทราบอำนาจปกครองของภาคขาวว่ามีแค่ไหน ? นี่คือเหตุผลที่ฟังได้

แต่ความเป็นไปได้มีหรือไม่ ? ตอบว่า ความเป็นไปได้ไม่มี ! เพราะไม่มีใครไปสุดนิพพาน ไม่ว่าจะเรียนกันมากี่ยุคกี่สมัย ? ไม่ว่าจะกี่ชาติกี่ภพ ? ก็ยังไม่มีใครไปสุดนิพพาน ทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น

เหตุใดข้าพเจ้าไปสุด ? ข้าพเจ้าก็ตอบไม่ได้ สามัญสำนึกบอกตัวเองว่า ธาตุธรรมทต้น จนถึงศีลใหญ่ ได้แก่ ศี่านให้เราปราบมาร ถ้าไปไม่สุดนิพพาน เราก็ไม่ทราบอำนาจปกครองของเรา ว่าอำนาจปกครองของเรามีแค่ไหน ? หากถามว่า พระพุทธองค์ของเรามีเท่าไร ? และจักรพรรดิของเรามีเท่าไร ? ถึงเรานับจำนวนไม่ไหว แต่เราก็ไปทั่วเขตปกครองของเราแล้ว

การจะไปให้สุด ให้ใช้วิธีคำนวณดับหยาบไปหาละเอียด รุดหน้าเรื่อยไป พบมารขัดขวางแน่นอน พบที่ใด ? รบกันที่นั่น ! มารเขาไม่ต้องการให้ใครไปสุด เขาจะขัดขวางอย่างแข็งขัน เรารู้อยู่แล้ว เราต้องรบกับมารแน่นอนอยู่แล้ว ไปรีรออะไรกัน ธาตุธรรมท่านมอบความไว้วางใจแก่เรา เราทำไม่ได้ พระองค์ก็ผิดหวังในเรา ใช้ให้มาเกิดกี่คน ? ก็มาแพ้กันหมด ไม่ได้มาทำวิชา ไม่ได้มาแสวงหาวิชา แต่มาแสวงหาอาหารภัตตาคาร มาอาศัยบวชเพื่อให้ได้เงินซื้อจีวรจากเมืองนอก เผลอๆ ก็จะมีเมียเสียด้วย ให้เขาทำข่าวอาศัยวิชาธรรมกายบังหน้า มีแต่อย่างนี้แล้วจะไปได้เรื่องราวอะไร ?

 

๒. ทำไมไม่กำจัดทุคติภูมิซึ่งเป็นเครื่องมือของมาร ?

เรื่องนี้ ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในเล่มปราบมารภาค ๑ แล้ว เป็นผลงานตั้งแต่รุ่นปราบมารภาค ๑ ทุคติภูมิคืออะไร ? คือภพภูมิที่มารเขาทำไว้ทรมานมนุษย์ ได้แก่ นรก อเวจี และโลกันต์ พวกเราไปตกนรกกันทั้งนั้น มีจำนวนมาก แม้คนดีๆ ที่ช่วยชาติบ้านเมือง ก็ยังตกนรก สมัยนั้นข้าพเจ้ายังหนุ่มอยู่ ทำวิชาปราบมารใหม่ๆ เข้าออกนรก อเวจี และโลกันต์ตลอด แต่แรกก็ยังรู้เห็นน้อยอยู่ ครั้นเดินวิชานานเดือนนานปีเข้า เกิดความชัดเจนทางญาณทัสสนะมากขึ้น จึงได้รู้ว่า นี่มันผลงานของมาร เขาทำไว้เพื่อทรมานมนุษย์แท้ๆ คนดีๆ ยังตกนรก นี่มันอะไรกัน คนที่ทำโทษนั้น ไม่ใช่ธรรมภาคขาว แต่เป็นคนของธรรมภาคมาร นี่มันอะไรกัน ? ไม่ชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง คนของภาคขาวทำไมให้มารเขามาทำโทษ ? เมื่อคนของภาคขาวผิดพลาด ก็ให้ภาคขาวเขาทำโทษกันเอง มันจึงจะถูก คนที่ไปสู่ทุคติภูมิ เป็นคนดีทั้งนั้น เพราะอะไรเราจึงว่าดี ? ก็เพราะเราเรียนประวัติศาสตร์ ครูอาจารย์ท่านสอน ใครทำคุณงามความดีแก่บ้านเมือง ? ใครกอบกู้ชาติ ? เราเคยตอบครูผิดไป ครูยังเรียกเราไปทำโทษ เนื่องจากเราตอบคำถามไม่ถูก

ข้าพเจ้าจำได้เป็นอันดี เคยตอบประวัติศาสตร์ผิดไป ก็เคยถูกครูตีมาแล้ว ท่านเหล่านั้นมีคุณต่อบ้านเมือง แต่พอเราเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง เรามาพบว่า คนดีของบ้านเมืองต้องไปสู่ทุคติภูมิ เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเสียใจมาก ! เป็นความรู้สึกส่วนตัว ไม่รู้จะไปปรารภกับใคร ? เพราะไม่มีใครเขาเป็นวิชาอย่างเรา พูดไปก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน ? ไม่มีประโยชน์อะไร ? จึงนิ่งไว้แต่ผู้เดียว

ญาติมิตรของเรา เมื่อตายไปแล้ว ไปสู่ทุคติภูมิแทบทั้งนั้น ข้าพเจ้าทำวิชาช่วยอย่างสุดกำลัง ยังจำได้ว่า ในการทำวิชาแต่แรกๆ นั้น เอาพวกเราขึ้นมาจากนรกแล้ว รุ่งขึ้นทำไมกลับไปสู่นรกตาม

เดิม ? เราเอากายกลับขึ้นมาไว้บนสวรรค์ใหม่ พากเพียรทำอยู่เช่นนี้ เป็นเวลานาน จนกว่าญาติมิตรของเราจะสู่สวรรค์ทั้งหมด

คนโบราณกล่าวไว้ว่า " คนขึ้นสวรรค์เท่ากับเขาโค แต่คนตกนรกเท่ากับขนโค " นั้น เป็นความจริง

ยังจดจำภาพได้ติดตา ถึงการระลึกถึงญาติของข้าพเจ้าที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะนึกถึงใคร ? พอตรวจไปแล้วก็พบว่า เขาผู้นั้นตกนรกเสียแล้ว แต่การค้นพบนั้น ต้องใช้เวลานานพอสมควร ส่วนใหญ่ก็พบในนรก ๘ ขุม ถ้าดื่มเหล้าก็ต้องไปดูที่ขุม ๓ เป็นอันว่าไม่พลาด คนดีที่ใจบุญสุนทาน ไม่คิดว่าจะตกนรก แต่ท่านก็ตกไปแล้ว สืบไปสืบมา ก็บาปกรรมเล็กน้อยเท่านั้น ไม่น่าที่จะตกนรกเลย ถ้าเป็นโจรร้าย เราไม่ว่า ปล้นจี้ฆ่าแกง เราไม่ว่า แม้ช้อนกุ้งตกปลา ซึ่งเป็นงานปกติของชาวชนบท ก็ตกนรกกับเขาด้วย ทำให้นึกถึงคำกล่าวของคนโบราณที่ว่า " คนขึ้นสวรรค์เท่ากับเขาวัว (วัวมีเขา ๒ เขา) คนตกนรกเท่ากับขนวัว วัวตัวหนึ่งมีขนทั่วตัวนับไม่ถ้วน " คำกล่าวนั้นเป็นความจริง ไม่ว่าเราจะนึกถึงญาติท่านใด ? ตรวจดูแล้วก็พบว่าตกนรก

เราสงสารเขาอย่างมาก เพราะตกนรกโดยไม่มีเหตุอันควร บาปกรรมเพียงนิดหน่อยก็ตกนรกเสียแล้ว กว่าจะได้ผุดได้เกิดแต่ละคราว ไม่ง่ายเลย ! เพราะต้องเสียเวลาในการไปอยู่ในอบาย-ภูมิเช่นนั้น และโบราณท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า " แผ่นดินพูดไม่ได้ เราก็ไม่ได้เกิด " เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เราที่เป็นมนุษย์จึงต้องทุกข์ร้อนกันทั้งโลก ทุกข์ร้อนกันทั้งที่มีชีวิตอยู่และเมื่อตายไปแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่ เราทุกข์ร้อนไม่เท่าไร ? แต่หลังจากตายไปแล้ว มันทุกข์แบบสาหัสร้อยเท่าพันทวี

ใครก็ไปช่วยเราไม่ได้ทั้งนั้น ? เราคงทุกข์ร้อนอยู่อย่างนั้น คนที่จะมีความรู้ไปช่วยเราในยามที่เราตกนรกนั้น ยังไม่มีใครทำได้ในโลกนี้ ไม่มีผู้วิเศษคนใดทำได้ จนปัญญาด้วยประการทั้งปวง

แต่บังเอิญข้าพเจ้าเรียนวิชาธรรมกายมาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ และวิถีทางของชีวิตข้าพเจ้ามีบทบาทต้องมาทำวิชาปราบมาร จึงได้มารู้เห็นเรื่องของทุคติภูมิ คือได้รู้เห็นนรก อเวจี โลกันต์ ได้รู้เห็นเรื่องสวรรค์ จนถึงขั้นช่วยเหลือพวกเราได้ นี่คืออานิสงส์ของการทำวิชาปราบมาร

ยังอยู่ในความทรงจำจนถึงวันนี้ เป็นผลงานตั้งแต่รุ่นหนังสือ " ปราบมารภาค ๑ " พอช่วยญาติมิตรให้พ้นจากนรกได้แล้ว เกิดความสบายใจ เกิดความโปร่งใจ เพราะบางท่าน มีคุณต่อเรา ยังจำได้ว่าเกิดสภาพใจเหิมเกริมขึ้นมา เมื่อเราช่วยญาติมิตรได้ เราก็ต้องช่วยผู้มีคุณต่อแผ่นดินได้ ระลึกถึงนักรบของไทยและระลึกถึงผู้มีคุณต่อแผ่นดิน ที่รักษาบ้านเมืองให้เราได้อยู่อาศัยจนทุกวันนี้

คิดในใจเท่านั้น แต่ยังไม่ทำอะไร ? ต้องหาความรู้ก่อน ความรู้นั้นคืออะไร ? จะเล่าให้ฟังดังนี้

ได้ทูลถาม " ต้นใหญ่ " ว่าเรื่องอบายภูมิมีความเป็นมาอย่างไร ?

หากท่านได้อ่านหนังสือปราบมารภาค ๑ ท่านคงจำได้ข้าพเจ้าได้กราบทูลถาม " ต้นใหญ่ " ว่า " ขอพระองค์ได้ทรงโปรด เรื่องของทุคติภูมินั้น ตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ได้ไปตรัสรู้เป็นสัพพัญญูในโลกนั้น ทุคติภูมิมีอยู่อย่างไร ? มีใครไปแตะต้องบ้างหรือไม่ ?"

นี่คือคำถาม ที่เรากราบทูลถามไป

ทรงตอบว่า " ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว ทุคติภูมิก็มีอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครไปแตะต้อง แต่เห็นหลวงพ่อท่านคิดอยู่ ยังไม่ทันได้ทำอะไร ? หลวงพ่อก็มรณภาพไปก่อน "

การช่วยนักรบและช่วยผู้มีคุณต่อบ้านเมือง เหตุใดจึงไม่มีใครต่อต้าน ?

ส่งผลให้ดับทุคติภูมิได้ในที่สุด

งานแรก คืองานช่วยญาติมิตรให้พ้นจากนรก ใช้เวลายาวนาน กว่าจะช่วยได้แต่ละคน ใช้เวลาหลายวัน เมื่อช่วยญาติมิตรได้ ทำให้ใจของข้าพเจ้าเหิมเกริม ไม่กลัวเป็นไม่กลัวตาย !!

งานที่สอง ตั้งใจมั่นคงแล้ว เป็นอะไรเป็นกัน เราจะต้องช่วยผู้มีคุณต่อบ้านเมืองให้ได้ แผ่นดินนี้ท่านรักษาไว้ ท่านเป็นผู้ทำไว้ให้ หากบรรพบุรุษไม่ทำไว้ให้ เราไม่รู้จะอยู่ที่ไหน ? หากผู้ควบคุมนรกเขาถามเหตุผลการกระทำของเรา เราจะนำเรื่องนี้ตอบแก่เขา เรามีเหตุผลของเราอย่างนี้ หากใครขัดขวาง ? เราจะต้องตัดสินใจสู้ เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เราไม่พอใจที่เขาทั้งหลายมีทุกข์ร้อน อันเกิดจากการเผาไหม้ในนรกขุมต่างๆ นั้น ใครกันแน่ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนเช่นนี้ ? นี่คือเหตุผลของเรา

ตัดสินใจแล้ว ก็เดินวิชาทันที เข้าไปในนรกขุมต่างๆ ประกาศว่า ใครเป็นนักรบของไทยและผู้ทำความดีต่อบ้านเมืองให้ออกมาหาเราทั้งหมด ? เสร็จแล้วเลื่อนแผ่นฌานกายธรรมออกมารองรับไว้ทั้งหมด เอามารวมไว้ที่ตีนเขาพระสุเมรุ สอนให้ทำภาวนาจนกว่าจะเกิดดวงปฐมมรรค หากยังไม่เกิดดวงปฐมมรรค แปลว่ายังไม่ลืมเวทนาเดิมของนรก พอดวงปฐมมรรคเกิดแล้ว เราให้เขาฝึกวิชาต่อไปจนกว่าจะเกิดกายธรรม เขาอยากพ้นทุกข์อยู่แล้ว ทุ่มเทต่อการฝึกที่เราบอก เขาทำได้ ! แล้วเราก็จัดให้เขาเข้าสู่สวรรค์ได้ทั้งหมด

ดวงดีจริงๆ ที่งานนี้บรรลุเป้าหมาย ไม่มีผู้คุมนรกท่านใดขัดขวางเลย ! เป็นเพราะเหตุใดข้าพเจ้ายังไม่ทราบเหตุผล ? ปล่อยให้ข้าพเจ้าทำงานแบบตามใจชอบ บัดนี้ เหตุการณ์ผ่านมาเป็นเวลา ๑๐ ปีกว่าแล้ว ก็ยังไม่ทราบเหตุผลอยู่เช่นเดิม

การที่ไม่มีใครขัดขวางข้าพเจ้าเลยนั้น เป็นลู่ทางให้ข้าพเจ้าทำวิชาดับภูมิทั้งปวงได้หมดสิ้น เป็นผลงานตั้งแต่รุ่นหนังสือปราบมารภาค ๑ แล้ว เรื่องราวของการพิจารณาทุคติภูมินั้น อยู่ในสมุดบันทึกเล่มที่ ๙ หน้า ๕๓

เรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ ข้าพเจ้ายังระลึกได้ แต่ข้าพเจ้านำมาบรรยายไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของคนสำคัญหลายท่าน งานนี้ส่งผลให้ข้าพเจ้าเกิดความสบายใจ โล่งใจ! โปร่งใจ! สบายใจ! และปลื้มใจ ! ขอให้นักรบเป็นสุข ขอให้ผู้มีคุณต่อบ้านเมืองมีสุข สมใจของเราแล้ว ที่เราได้ตอบแทนคุณของนักรบและตอบแทนผู้มีคุณต่อบ้านเมือง ข้าพเจ้าปลื้มใจที่ข้าพเจ้าทำได้ แม้วันนี้ข้าพเจ้าก็ยังปลื้มใจ

งานต่อมา ก็คืองานดับภพภูมิทุคติภูมิทั้งหมด มีความจำเป็นต้องทำลาย ไม่ทำได้อย่างไร ? เพราะทุคติภูมิทั้งปวงประกอบด้วย นรก อเวจี และโลกันต์ มารทำไว้ทรมานมนุษย์ เมื่อมนุษย์ประพฤติผิด ภาคขาวควรทำโทษกันเอง จะทำกันอย่างไรก็ว่ากันไป เหตุใดจึงให้มารเขามาเกี่ยวข้องด้วย ? การให้มารมาเกี่ยวข้องด้วยนั้น มารเขาก็ลามปามไปกันใหญ่ แม้แต่มรรคผลนิพพาน มารเขาก็เข้ามายึดอำนาจปกครอง ดังที่เราท่านทราบชัดอยู่แล้ว

หตุการณ์วันที่ดับทุคติภูมินั้นความวุ่นวายเกิดขึ้น เนื่องจากยังไม่ได้จัดระบบปกครอง

เหตุการณ์วันที่ภพภูมิของทุคติภูมิถูกดับลง การทรมานก็สิ้นสุดลง สมาชิกในภพภูมิเหล่านั้นมีอิสรภาพ เราลำเลียงสมาชิกทั้งปวงมาที่ตีนเขาพระสุเมรุทั้งหมด เกิดความวุ่นวายเพราะยังไม่ได้จัดระเบียบการปกครอง ต่อเมื่อจัดระเบียบการปกครองแล้ว จึงเกิดความเรียบร้อย

สมาชิกที่มาจาก โลกันต์ มอบให้อรูปพรหม ๔ ชั้นดูแลสมาชิกที่มาจากอเวจี มอบให้พรหม ๑๖ ชั้นดูแล และสมาชิกที่มาจากนรก มอบให้สวรรค์ ๖ ชั้นดูแล จะทำโทษกันอย่างไร ? ก็ตั้งกติกากันเอง นี่คือภาคขาวทำโทษกันเอง ไม่ใช่มารมาทำโทษเหมือนอดีตที่ผ่านมา ระดับโทษที่กระทำต่อสมาชิกเหล่านั้นมีอย่างไร ? เรื่องนี้ไม่ยาก ทุกข์ร้อนที่ได้รับนั้น เบากว่าให้มารมาทำโทษเองมาก เพราะภพภูมิที่มารทำขึ้นนั้น มารเขาเอาดวงบาปมาทำเป็นเครื่อง ให้เครื่องปรุงแต่งเป็นพันธนาการบังคับกายบังคับใจ ให้สมาชิกที่เข้าสู่ภพภูมิของเขา เกิดทุกขเวทนาในรูปแบบต่างๆ

ตั้งแต่จัดระบบปกครองแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้ไปดูอีกเลยว่าผู้คุมของเราทำโทษสมาชิกที่ยังไม่พ้นโทษกันอย่างไร ?

พวกเราที่ตายกันในทุกวันนี้ ก็ต้องไปที่ตีนเขาพระสุเมรุก่อน จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ตรวจสอบผลบุญผลบาปตลอดเวลาที่เราอยู่บนโลก ใครทำกรรมดี ? ก็สู่สวรรค์ ส่วนใครที่ทำกรรมบาป เขาก็พิจารณาโทษ แจกจ่ายระดับโทษไปตามความหนักเบา พวกเราคือภาคขาวด้วยกันเอง ทำโทษกันเอง ไม่ใช่ให้มารมาทำโทษเหมือนกาลก่อนที่ผ่านมา

เขาก็จะถามท่านว่า รู้จักลุงการุณย์ บุญมานุช หรือไม่ ? ถ้าท่านตอบว่ารู้จัก แปลว่าท่านจะโชคดีแล้ว หากท่านตอบว่า เคยช่วยข้าพเจ้าและเคยร่วมกิจกรรมการเผยแพร่ธรรมกับข้าพเจ้าด้วย อย่างนี้ก็สะดวกโยธินด้วยประการใดๆ

ท่านทั้งหลายให้ข้าพเจ้าช่วยตรวจญาติของตนที่ตายไปว่าตายไปแล้วไปอยู่ที่ใด ? เป็นสุขหรือทุกข์ร้อนอย่างไร ? ความรู้อย่างนี้ เวลานี้ไม่มีเกจิอาจารย์ใดทำได้แล้ว ! เป็นที่น่าเสียใจมาก ! แปลว่าความรู้ของเกจิอาจารย์ยังใช้อะไรไม่ได้เลย ท่านใดไม่เกเรจนเกินไป ข้าพเจ้าก็ช่วย แต่ถ้าทำแต่การบาปอย่างเดียว ข้าพเจ้าช่วยไม่ได้ จะไปช่วยคนใจบาปได้อย่างไร ? ต้องเห็นใจข้าพเจ้าบ้าง แต่ถ้าเป็นคนดี แต่เกิดความพลั้งพลาด อย่างนี้ร้อยทั้งร้อยข้าพเจ้าช่วยได้หมด บางรายส่งเงินช่วยกิจการของข้าพเจ้าตลอดมา ต่อมาบิดามารดาของท่านหรือญาติของท่านเสียชีวิตไป กรณีอย่างนี้สบายมาก เพียงแต่เราเข้านิพพานคำนวณดวงบารมีออกมา แล้วก็หยิบยื่นให้แก่ผู้ตาย เขาก็ไปสู่สุคติอย่างสะดวกโยธิน แต่ว่าต้องให้ข้าพเจ้าดูรูปถ่ายประกอบด้วย ป้องกันมารเขาแปลงกายมาสวมรอย เรื่องนี้ต้องระวัง การตรวจต้องทำให้รอบคอบ

สรุปว่า ๒ เรื่องแล้วที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นว่า เหตุใดงานปราบมารในอดีตจึงไม่ได้ผล ?

ข้าพเจ้าก็ได้กล่าวไว้ ๒ เรื่องเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาคือการเดินวิชาไปให้สุดนิพพานให้ได้ และต้องดับทุคติภูมิที่มารทำไว้ให้จงได้

รายละเอียดของเรื่องทั้ง ๒ มีอย่างไร ? ข้าพเจ้าบรรยายมาพอสมควรแล้ว หากเราเดินวิชาไปไม่สุดนิพพาน เราจะทราบอำนาจปกครองของภาคขาวได้อย่างไร ? นี่คือเหตุผล! และการไม่ดับทุคติภูมิที่มารเขาทำไว้ เหตุใดเราไม่คิดทำกัน ? เพราะทุคติภูมิคือเครื่องมือของมาร มารเขาทำไว้ทรมานพวกเรา ทำให้เราล่าช้าต่อมรรคผลนิพพาน ปล่อยให้ทุคติภูมิทรมานพวกเราอยู่ทำไม ? หากอ้างว่ากลัวมาร เราจึงไม่กล้าตัดสินใจ ถ้าอ้างอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ว่าข้าพเจ้ากลัวกว่าใครๆ เพราะข้าพเจ้าเป็นวิชาแบบมวยวัดเท่านั้น ไม่เป็นวิชาเหมือนผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย ถ้าพูดถึงกิเลสมากน้อย ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้ามีกิเลสมากกว่าใครๆ หากท่านอ่านตำราที่ข้าพเจ้าเขียนทุกตำรา จะพบว่า ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าข้าพเจ้ามีกิเลสน้อย แต่จะพบว่าข้าพเจ้ามีกิเลสมาก ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารคราวนี้ เป็นเพราะธาตุธรรมท่านร้องขอ ข้าพเจ้าเกรงใจ แต่ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้ามีบุญ เพราะข้าพเจ้ามีจักรพรรดิชั้นดี เพราะมี " ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู " มาช่วย ผลงานปราบมารจึงออกมาดี

การที่ทุคติภูมิยังมีอยู่และสืบทอดมาถึงยุคของข้าพเจ้า เป็นตัวบ่งชี้ว่า ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้กันเลย ปัญหาทุกปัญหาจึงสะสมกันมา จนยากแก่การแก้ไข

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งคือเรื่องวันวิสาขบูชาของนิพพาน มาเกิดขึ้นในยุคของข้าพเจ้าได้อย่างไร ? ข้าพเจ้าตกใจมาก

วันวิสาขบูชาคืออะไร ? ท่านได้อ่านผ่านมาแล้ว วันวิสาขบูชาของนิพพานเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ท่านอ่านผ่านมาแล้ว ข้าพเจ้าไม่กล่าวซ้ำอีก

ประเด็นสำคัญที่เราจะพูดกันก็คือ เหตุใดจึงเพิ่งเกิดมีวันวิสาขบูชา ? การที่เพิ่งเกิดวันวิสาขบูชาของนิพพานขึ้นนั้น เป็นตัวบ่งชี้ให้เราทราบอะไรบ้าง ? เป็นเรื่องที่เราต้องคิด ข้าพเจ้าบรรยายเนื้อหามาแล้ว จึงไม่กล่าวอีก

สรุปแล้ว งานปราบมารที่แล้วมานั้น ยังไม่ไปถึงไหน เลย! ปัญหาทุกเรื่องยังไม่ได้รับการแก้ไขอะไรเลย และการที่ธาตุธรรมทรงกล่าวเรื่องราวให้ข้าพเจ้าทราบ ทรงกล่าวถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้ารับฟังด้วยดี ปัญหาจึงมาตกที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทำไหวหรือ ? เพราะข้าพเจ้าไม่มีกำลังเลย จะเอาเงิน เงินก็ไม่มี จะเอาคน คนก็ไม่มี จะเอาอะไร ? เอาไม่ได้ทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรเลย ! ข้าพเจ้าน้อยใจในตัวของข้าพเจ้า ถึงกับเขียนในตำราว่า " การปราบมารคือละครเรื่องข้ามาคนเดียว " หมายความว่า งานปราบมารของข้าพเจ้านั้น หาคนช่วยไม่ได้เลย เหมือนกับว่าเรามาคนเดียว เหมือนกับว่าเราอยู่คนเดียวในโลกนี้ พึ่งพาอาศัยใครไม่ได้เลย

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะมารเขามาระเบิด ไม่ให้ใครมาช่วยเรา เขาระเบิดดวงสมบัติ ไม่ให้เรามีกินมีใช้ เพื่อให้เราหมดเสบียง จะได้แพ้เขาในทันใด มารเขาบดขยี้เราทุกรูปแบบ เราจึงอยู่ในฐานะขัดสนสารพัด ยังจำได้คราวนั้นดำรงตำแหน่งราชการเป็นศึกษาธิการอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง วันเสาร์ที่จะถึงนี้ เราต้องเดินทางไปถวายความรู้วิชาธรรมกายแก่พระสงฆ์ที่จังหวัดสุโขทัย ก่อนเดินทาง ข้าพเจ้าจะต้องเตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว จึงเดินทางไปตลาดจังหวัดอยุธยาเพื่อซื้อสิ่งของ ระหว่างเดินทาง รถแท๊กซี่พลาดอย่างไรไม่ทราบ ? ตกลงไปในท้องร่องข้างถนน น้ำเข้ามาเต็มรถเนื่องจากเป็นฤดูฝน ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าหลุดออกมาจากรถได้อย่างไร ? พอตั้งสติได้ เอามือจับหน้าอกทันที ถ้าเราตายในคราวนี้ งานสอนวิชาธรรมกายถวายแก่พระสงฆ์ที่จังหวัดสุโขทัยจะทำอย่างไร ? พระสงฆ์จะคอยเราจนเก้อแน่ แต่เราดวงดีที่ยังไม่ตาย พรุ่งนี้เราก็เดินทางไปสอนได้ตามกำหนด

พอถึงขั้นเดินทางจริง ปรากฏว่าพระสงฆ์รูปหนึ่งจะร่วมเดินทางไปด้วย จะทำอย่างไรดีในเมื่อค่ารถไม่พอเสียแล้ว เราเป็นถึงศึกษาธิการอำเภอ จะให้พระสงฆ์ออกค่ารถเอง ก็จะเสียหน้าเรา ต้องรีบไปยืมเงินเพื่อนหัวหน้าส่วนราชการ และกว่าจะได้เงินมาเป็นค่าเดินทาง ก็ทำให้เราเสียอารมณ์ เพราะไม่มีใครเขามีเงินเหลือเฟือ เขามีแต่เงินที่จะใช้ประจำวันเท่านั้น

ที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในความทรงจำ ไม่ว่าจะทำอะไร ? มีอุปสรรคไปหมด ทุกอย่างมีปัญหาทั้งนั้น

นี่คือ เหตุการณ์หนึ่งในงานเผยแพร่วิชาธรรมกายของข้าพเจ้า ยังไม่ถึงขั้นตอนปราบมาร พอมาถึงยุคปราบมาร อุปสรรคทั้งปวงทวีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวทันที ถ้าเราทนต่ออุปสรรคไม่ไหว ก็แปลว่าเราแพ้มารตั้งแต่ต้นมือแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่า งานปราบมารนั้นมีอุปสรรคปานใด ? ข้าพเจ้าพบมาแล้วอย่างโชกโชน จึงเห็นใจหลวงพ่อของเราอย่างมาก หลวงพ่อมีบทบาทเป็นเจ้าอาวาส ต้องรับผิดชอบต่อพุทธบริษัทที่อยู่ในวัดทั้งหมด ต้องรับผิดชอบต่องานจัดการศึกษาให้แก่พระเณร อุบาสก อุบาสิกา จัดโรงเรียน จัดครู จัดที่อยู่ที่อาศัย อาหารการกิน การเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปคุมวิชาปราบมารให้แก่เวรต่างๆ ที่ทำวิชาปราบมาร ? หลวงพ่อตั้งเวรทำวิชา ๖ เวรๆ ละ ๔ ชั่วโมง รวมแล้วทำวิชาตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี นี่คือข้อมูลที่เราเรียนรู้มาได้

นี่คือ งานปราบมารในยุคของหลวงพ่อ หัวหน้าเวรคือใครบ้าง ? เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ก็คือ

(๑.) คุณตรีธา เนียมขำ

(๒.) คุณฉลวย สมบัติสุข

(๓.) แม่ชีญาณี ศิริโวหาร

(๔.) แม่ชีถนอม อาสไวย์

(๕.) แม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ

(๖.) แม่ชีชั้น จอมทอง

มี ๒ ท่านเท่านั้นที่ข้าพเจ้าไม่เคยสนทนาด้วย คือแม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ และแม่ชีชั้น จอมทอง ส่วนหัวหน้าเวรอีก ๔ ท่านรู้จักข้าพเจ้าเป็นอันดี สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายก็คือ ในยุคการปราบมารของหลวงพ่อ ไม่มีตำราให้เราได้ศึกษาเล่าเรียนเลย เราจึงไม่ทราบว่างานปราบมารในยุคนั้น มีผลงานอะไรบ้าง ? คงมีแต่เรื่องกระเส็นกระสายพูดคุยสืบต่อกันมา เป็นเหตุการณ์บางเหตุการณ์ เป็นเรื่องราวบางเรื่องราวเท่านั้น เราจะนำมาเป็นตำรับตำราไม่ได้

พอมาถึงสมัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความจำเป็นต้องทำตำราไว้ทั้งหมด เหตุใดจึงต้องทำตำราไว้ ? นี่คือประเด็นสำคัญ

ข้าพเจ้าเคยกล่าวแล้วว่า ในสากลโลกในสากลธรรมนี้มีสำคัญเรื่องเดียว คืองานปราบมาร ความรู้ปราบมารยากที่ใครจะรู้ ? ยากที่ใครจะเห็น ? ยากที่ใครจะเข้าถึง ? ยากที่ใครจะทำ ? เพราะเป็นการต่อสู้กันระหว่างภาคพระกับภาคมาร ต่างฝ่ายต่างจ้องจะดับวิชาของฝ่ายตรงข้ามเสมอไป ฝ่ายใดวิชาถูกดับ ? ฝ่ายถูกดับจะเป็นผู้แพ้เสมอไป

ไม่มีใครอยากแพ้ ? มีแต่อยากชนะ เมื่ออยากชนะ ก็ต้องรักษาวิชาไว้ให้จงดี วิชาเพี้ยนไปไม่ว่าจะโดยเหตุใด ? นั่นคือลางบอกเหตุว่าจะแพ้แล้ว เพี้ยนมากก็แพ้หมดรูป เพี้ยนน้อยก็แปลว่าใกล้จะแพ้ราบคาบแล้ว

การแทรกซึมทางวิชาของมาร เขาทำได้แยบยลจริงๆ หลวงพ่อท่านสอนความรู้ไว้แล้ว พวกเราพิจารณากันบ้างหรือเปล่า ? ว่ามารเขามียุทธศาสตร์การแทรกซึมของวิชาอย่างไร ? เห็นพวกเราท่องกันจนจำได้ว่า หุ้ม-เคลือบ-เอิบ-อาบ-ซึม-ซาบ-ปน-เป็น-สวม-ซ้อน- ร้อยไส้ แต่พอให้อธิบายให้ฟัง ไม่มีใครแสดงความรู้ได้เลย แม้แต่คำว่า " กลาง " ซึ่งมักจะว่าตามกันมาคือ " กลางของกลาง กลางของกลางๆๆ ดับหยาบไปหาละเอียดๆ ๆ " แต่อธิบายความหมายไม่ได้ มีวิธีปฏิบัติทางใจอย่างไร ? หาคนอธิบายไม่ได้แล้ว น่าเสียใจมาก !

ขั้นตอนการจู่โจมทางวิชาของมาร

เขายิงวิชาของเขาให้แทรกซ้อนในวิชาของภาคขาวอย่างมีขั้นตอน ดังต่อไปนี้

(๑.) ขั้นตอนแรก คือ หุ้ม หมายถึง เขากระทำการแล้ว ได้แก่ การอมไว้ เหมือนราหูอมจันทร์

(๒.) ขั้นตอนต่อมา คือ เคลือบ เมื่อห่อหุ้มได้ที่ดีแล้ว ก็เป็น ขั้นตอนเคลือบ ก็เหมือนเราเทน้ำยาราดลงไปที่กระถางดินเผาของเราน้ำยา ก็แทรกเข้าไปในเนื้อกระถางดินเผา

(๓.) ขั้นตอนต่อมา คือ เอิบ ก็คือเคลือบให้แนบแน่นยิ่งขึ้น นั่นเอง

(๔.) ขั้นตอนต่อมา คือ อาบ ก็คือทำให้ทั่ว ราดลงไปให้ทั่ว เอิบ ให้ละเอียดเข้าไป

(๕.) ขั้นตอนต่อมา คือ ซึม ก็คือแทรกซึมเข้าไปให้ทั่ว

(๖.) ขั้นตอนต่อมา คือ ซาบ ก็คือซึมให้ละเอียดเข้าไป

(๗.) ขั้นตอนต่อมา คือ ปน ก็คือปนกัน ปะปนเข้ามา

(๘.) ขั้นตอนต่อมา คือ เป็น ก็คือปะปนจนได้ที่ดีแล้วจนถึงขั้น ที่มองดูแล้ว เป็นของเราไปเสียแล้ว มารแท้ๆ แต่เราเห็นว่าเป็นภาคพระ เป็นวิชาของพระไปเสียแล้ว

(๙.) ขั้นตอนต่อมา คือ สวม ก็คือการเข้ามาปนเป็น จนถึงขั้น ว่าเป็นตัวจริง ของปลอมแท้ๆ แต่เราเห็นว่าเป็นตัวจริงไปได้ นี่คือวิธีแทรก ซ้อนทางวิชาของมาร

(๑๐.) ขั้นตอนต่อมา คือ ซ้อน ก็คือกระทำสวมอย่างละเอียด เข้าไป ทำให้หลายชั้น

(๑๑.) ขั้นตอนต่อมา คือ ร้อยไส้ ก็คือยึดปกครองได้เต็มรูปแบบ คือเข้าถึงกลางได้ กลางก็คือกลางดวงธรรม ตรงจุดใสเท่าปลายเข็ม การ เปรียบเทียบก็คือ ข้าศึกเข้าเมืองหลวง ได้แล้ว การรบตั้งแต่อดีต เมื่อเข้าถึง เมืองหลวงได้แล้ว ถือว่าชนะแล้ว ฝ่าย ถูกยึดต้องประกาศยอมแพ้

นี่คือ ขั้นตอนการแทรกซึมของมาร ที่เขาจู่โจมเข้ามาในวิชาของภาคขาว มีขั้นตอนมากมาย เราต้องจำให้ได้ ต้องแม่นตำรา ต้องหมั่นตรวจสอบความรู้กับตำรา อย่าให้วิชาเฝือ อย่าให้วิชาเพี้ยน

 

การเดินวิชาต้องเข้ากลางเสมอไป

" กลาง " ก็คือกลางดวงธรรมตรงจุดใสเท่าปลายเข็ม ดวงธรรมเป็นมรรค คือเป็น " ทาง " ให้ใจเดิน ถ้าไม่มีดวงธรรม ก็เหมือนกับไม่มีมรรค (ทาง) ส่งผลให้ใจเดินวิชาไม่ได้ ดวงธรรมก็คือดวงธรรม ๖ ดวง ดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ดวงธรรมมีมากมายเป็น เถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด..ละเอียดเข้าไปเรื่อย นี่กล่าวเพียงย่อๆ เท่านั้น ให้ท่านกลับไปอ่านเรื่องดวงธรรม ๖ ดวงอีกครั้ง เพื่อประกอบความเข้าใจ

นี่คือ แนวการเดินวิชาที่หลวงพ่อท่านสอน พวกเราจำวิชาได้ แต่ไม่เข้าใจความหมาย ข้าพเจ้าจึงอธิบายให้ฟังเพียงย่นย่อ เพราะกล่าวพาดพิงถึง มีความจำเป็นต้องอธิบายพอสมควร เดี๋ยวนี้หาคนเป็นวิชาได้ยากแล้ว แม้จะเรียนมาจากหลวงพ่อโดยตรง เป็นเพราะไม่หมั่นเดินวิชาประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ทวนความรู้กับตำรา ไม่ว่าใครทั้งนั้น หากเข้ากฎเกณฑ์ดังว่านี้ ถือว่าวิชาใช้ไม่ได้แล้ว จะให้ใช้ได้ ก็ต้องตั้งต้นเรียนกันใหม่ ! เริ่มต้นกันใหม่ ! ฝึกฝนกันใหม่ ! วางรากฐานกันใหม่ ! ท่านจะมีความเพียรหรือไม่ ? ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า วิชาธรรม-กายคือลู่ทางสู่มรรคผลนิพพาน เป็นความรู้ชั้นสูงในพระพุทธศาสนา เรียนยาก ! เข้าถึงยาก ! และยากต่อการรักษา ! ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมารเขาคอยจ้องจะดับวิชาอยู่ทุกลมหายใจ เขาใช้วิธีสอดละเอียดเข้ามาที่ใจของเราก่อน หากเขาสอดละเอียดเข้ามาได้ ส่งผลให้ความเชื่อของเราเพี้ยน และทำให้วิชาเฝือ และเกิดความผิดเพี้ยนโดยทันที ต่อจากนั้น ก็จะเพี้ยนตลอดไป มีผลกระทบต่อมรรคผลนิพพานทันที คือมรรคผลนิพพานล่มสลาย ทุกวันนี้เราก็เห็นตัวอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนความรู้ก็เพี้ยนวิชาก็เพี้ยน แต่ก็อ้างว่าเรียนมาจากหลวงพ่อ แต่พอถามว่าเคยเปิดตำราทบทวนความรู้บ้างหรือเปล่า ? ท่านไม่ตอบคำถามของข้าพเจ้า ? หากเรียนกันแบบเพี้ยนๆ แม้จะเรียนกันมาร้อยปีพันปี ก็ถือว่าใช้การไม่ได้ทั้งนั้น โปรดเข้าใจให้ตรงกันว่า มารเขาเก่งมาก หากเขาสอดละเอียดไปในที่ใด ? ที่นั่นจะต้องมีเรื่องมีราวทันที ประเทศเดียวกันแท้ๆ ก็ยังแตกออกเป็น ๒ ประเทศได้ เช่น เวียดนาม เยอรมัน เกาหลี เป็นต้น ศาสนาเดียวกันยังแตกเป็น ๒ นิกายได้ แปลว่ามารเขาทำได้ทั้งนั้น แล้ววิชาธรรมกายของเรา มารเขาก็สอดละเอียดได้เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าหวังดีต่อการเรียนวิชาธรรมกาย จึงขอเตือนและกำชับไว้ เพราะข้าพเจ้ารู้เห็นฤทธิ์เดชของมารแล้ว หากมารสอดแทรกในวิชาของเราเมื่อไร ? วิชาของเราจะเพี้ยนไปหมด ส่งผลให้เราพบกับความล้มเหลวด้วยประการทั้งปวง

ข้าพเจ้าบรรยายเรื่องคำกล่าวของธาตุธรรมมายาวแล้ว ก็เพื่อให้เกิดข้อคิดแก่ผู้ศึกษาเล่าเรียน ธาตุธรรมท่านบอกว่า ปราบมารมีมาแล้วในอดีตหลายยุคหลายสมัย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลย แต่การปราบในยุคนี้ คือยุคของ " ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู " ได้ผลมาก ข้าพเจ้าเสนอแนวคิดไว้ ๓ เรื่องดังนี้

(๑.) ต้องเดินวิชาไปให้สุดนิพพานให้จงได้

(๒.) ต้องดับทุคติภูมิให้จงได้ เพราะทุคติภูมิคือเครื่องมือ ของมาร

(๓.) เรื่องดวงธรรม ๖ ดวง เพราะดวงธรรมทั้งปวงเป็นทะเล รู้ทะเลญาณของภาคขาว เมื่อแก้ปัญหาทะเลรู้ทะเลญาณ ได้แล้ว จึงมาถึงเรื่องเกิดวันวิสาขบูชาของนิพพาน

เนื้อหาสาระของเรื่องทั้ง ๓ มีอย่างไร ? ท่านอ่านผ่านมาแล้ว ข้าพเจ้าเสนอแนวคิดได้บ้าง เพราะข้าพเจ้ามีประสบการณ์ เนื่องจากทำวิชาพบเหตุการณ์มาแล้ว ความรู้ประการอื่น ข้าพเจ้าไม่รู้ไม่ทราบ ความรู้ของข้าพเจ้ายังไปไม่ถึง ข้าพเจ้ายังให้ข้อคิดไม่ได้ เพราะงานปราบมารของข้าพเจ้าได้ผลเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น งานปราบมารยังต้องทำต่อไป จะมีข้อยุติประการใด ? ท่านต้องติดตามต่อไป

ท่านต้องทราบไว้เรื่องหนึ่งว่า ในสากลโลกและสากลธรรมนี้ มีเรื่องสำคัญเรื่องเดียว คือเรื่องปราบมาร ธาตุธรรมท่านก็บอกให้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า ตั้งแต่อดีตกาลมาแล้ว ธาตุธรรมของธรรมภาคขาวต่อสู้กับงานปราบมารติดต่อกันมา วิธีทำของพระองค์ก็คือส่งคนของท่านให้มาเกิด เพื่อให้มาทำวิชาปราบมาร ธรรมภาคขาวจะได้พ้นจากปกครองของมารเสียที เพราะการที่ถูกมารปกครองนั้น เกิดความเสียหายเป็นอันมาก ความเสียหายมีอย่างไรนั้น ? ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในหนังสือปราบมารทุกภาค ขอให้ท่านสรุปความเสียหายออกมาให้จงได้ แต่งานปราบมารไม่ง่ายอย่างที่ธาตุธรรมผู้ใหญ่ท่านคาดคิด แม้กระนั้นก็ไม่ละเลยต่อความพากเพียร งานปราบมารคงทำตลอดมา ดังที่ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวมากล่าวแล้ว แต่งานปราบมารในยุคของ " ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู " ได้ผลงานทะลุเป้าหมาย เหมือนกับว่าเราได้เกิดใหม่ เหมือนกับว่าเราฝันไป ความสิ้นหวังทั้งปวงกลายมาเป็นอนาคตใหม่ ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเรื่องทั้งปวงนี้จะมีขึ้นในสมัยที่ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมาร

ตำราปราบมารเกิดขึ้นแล้วในโลกของเรา เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกของโลก !

เป็นหลักฐานที่ผู้เป็นบัณฑิตจะได้ตรวจสอบ เป็นข้อมูลที่ผู้เป็นบัณฑิตจะได้พิจารณา เป็นเอกสารที่ผู้เป็นบัณฑิตจะได้ศึกษาค้นคว้า ควรที่ผู้คงแก่เรียนทั้งหลายจะได้พิสูจน์กันในวันนี้ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะชี้แจง พร้อมที่จะอธิบายอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ขอให้เกจิอาจารย์ทั้งปวงรวมตัวกันไปพิสูจน์ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาพูดกันแบบลมๆ แล้งๆ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาวิจารณ์กันเล่นๆ หากท่านประสงค์จะเรียนรู้และเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างแท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าให้การต้อนรับด้วยความยินดี เพราะความรู้ว่าด้วยการปราบมารนั้น ควรที่เราท่านจะต้องเรียนรู้ และอนุรักษ์สืบสานไปชั่วลูกชั่วหลาน เป็นความรู้สำคัญที่ไปศึกษาเล่าเรียนที่ใดในโลกไม่ได้ เพราะที่ใดในโลกไม่มีความรู้อย่างนี้ ไม่มีในมหาวิทยาลัยใดทั้งนั้น มีก็แต่ในบ้านเราคือเมืองไทยเท่านั้น

ผู้ที่จะบอกความรู้ทั้งปวงให้แก่ผู้คงแก่เรียนได้ ก็คือ ลุงการุณย์ บุญมานุช เพราะข้าพเจ้ามีประวัติว่าเป็นผู้ปราบมารและเสนอผลงานปราบมารไปแล้ว เป็นหนังสือปราบมารภาคต่างๆ รวมทั้งเล่มนี้ด้วย เป็นหนังสือปราบมาร ๕ ภาค นี่คือหลักฐานที่เป็นเอกสาร

หลักฐานสำคัญที่เป็นเอกสารอีกประการหนึ่ง คือ ลุงการุณย์ บุญมานุช เป็นผู้เขียนขยายความรู้วิชาธรรมกายทุกหลักสูตร ต่อคำถามที่ว่า มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเขียนขยายความรู้วิชาธรรมกาย ? ตอบว่า วิชาธรรมกายไม่ว่าจะหลักสูตรใด ? มีความยากทั้งนั้น ! ยากต่อการเข้าใจ ! ยากต่อการตีความ ! ยากต่อการเรียนรู้ ! ยากต่อการเข้าถึง ! ยากต่อการปฏิบัติ ! ยากต่อการรักษา ! ยากทุกบท ! ยากทุกหลักสูตร ! สรุปแล้ว วิชาธรรมกายยากทั้งหมด หากข้าพเจ้าไม่นำบทความรู้แต่ละบทมาอธิบายความหมาย ความยากก็จะอยู่อย่างนั้น ความยากก็จะเป็นไปเช่นนั้น ก็จะส่งผลให้วิชาสูญในเร็ววัน เนื่องจากไม่มีใครปฏิบัติได้ ทุกคนทราบเป็นอย่างดีว่า วิชาธรรมกายเป็นของสูง เป็นความรู้ชั้นสูงในพุทธศาสนา ไม่มีศาสนาใดมีความรู้อย่างนี้ ความรู้นี้มีเฉพาะของพุทธศาสนาเท่านั้น ผู้ที่จะมาค้นคว้าพบความรู้นี้ก็คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น คนอื่นค้นคว้าไม่ได้ เพราะบารมีธรรมไม่พอ จึงค้นวิชานี้ไม่ได้ วันที่พระพุทธองค์ค้นพบวิชานั้น เป็นวัฒนธรรมสืบต่อกันมาของหน่อเนื้อพุทธางกูร คือวันวิสาขบูชา นั่นเอง ความรู้นี้เราท่านทราบกันแล้ว แต่เป็นการบังเอิญที่หลวงพ่อวัดปากน้ำมาค้นพบวิชานี้เข้า ท่านจึงเขียนความรู้เรื่องนี้ไว้ เป็นตำรา ๔ หลักสูตร คือ

(๑.) วิชาธรรมกายเบื้องต้น คือ วิชาธรรมกายหลักสูตร

๑๘ กาย เราท่านรู้จักกันดี เพราะทางวัดปากน้ำพิมพ์ แจกมานานแล้ว ข้าพเจ้าไม่ต้องอธิบายอีก เพราะเรา เคยเห็นเคยอ่านแล้วทุกคน

(๒.) วิชาธรรมกายหลักสูตรระดับกลาง เรียกว่า " คู่มือ สมภาร " พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ พิมพ์ถวายสมเด็จ พระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นความรู้ ๑๕ บท หากรวมภาคผู้เลี้ยงด้วยจะเป็น ๓๐ บท

(๓.) วิชาธรรมกายหลักสูตรระดับยาก เรียกว่า " วิชชา มรรคผลพิสดาร " เป็นความรู้ ๔๖ บท ซึ่งพระมหาจัน ป.ธ. ๕ เป็นผู้รวบรวมไว้แต่ปี ๒๔๘๑ ทางวัดปากน้ำได้ นำมาจัดพิมพ์เมื่อปี ๒๕๑๗ จำนวน ๕๐๐ เล่ม

(๔.) วิชาธรรมกายหลักสูตรระดับยากมาก เรียกว่า " วิชชา มรรคผลพิสดารภาค ๒ " เป็นความรู้หลากหลาย ซึ่ง ทางวัดปากน้ำได้นำมาจัดพิมพ์เมื่อปี ๒๕๑๙

(๕.) ยังมีวิชาธรรมกายอีกหลักสูตรหนึ่ง คุณฉลวย สมบัติสุข เล่าว่า ไม่ทราบว่าใครมายืมหลวงพ่อไป ? หลวงพ่อก็ ให้ไป แล้วไม่นำส่งคืน จนบัดนี้ข้าพเจ้ายังเข้าวิชา ติดตามอยู่ ขอให้ได้ต้นฉบับคืนมา แล้วข้าพเจ้าจะนำ มาขยายความให้ ขอให้ท่านผู้ยืมไป โปรดนำส่ง ลุง การุณย์ บุญมานุช บ้านเลขที่ ๑/๓๑ ถนนพระยาตรัง ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ๒๒๐๐๐ โทร. (๐๓๙) ๓๑๓๗๕๐ ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณอย่างมาก และจะมีรางวัลให้อย่างงาม ท่านผู้ยืมไป ถึงท่านเก็บไว้ ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว โปรดนำส่งข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้า จะเผยแพร่แทนท่าน

โปรดจำไว้ว่า หลวงพ่อมรณภาพเมื่อปี ๒๕๐๒ ความรู้สำคัญคือวิชาธรรมกายระดับยาก ได้แก่ " วิชชามรรคผลพิสดาร " และ " วิชชามรรคผลพิสดารภาค ๒ " ไม่ได้จัดพิมพ์ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่

ตำราชั้นสูงอีกระดับหนึ่ง คือ " ตำราปราบมาร " หลวงพ่อไม่ได้ทำเป็นตำราไว้เลย น่าเสียดายมาก !

ตำราวิชาธรรมกายทุกหลักสูตรเหล่านี้ ยังเป็นตัวทฤษฎีอยู่ ยังเป็นภาคปริยัติอยู่ ยังไม่เป็นภาคปฏิบัติที่ชัดเจน จึงยากต่อการเรียนรู้ ยากทั้งภาษาหนังสือ ยากทั้งความรู้ สรุปแล้วยากทั้งนั้น ! หากข้าพเจ้าไม่นำมาขยายความ ก็จะยิ่งยากกันใหญ่ ผลที่ตามมาก็คือ จะทำให้วิชาสูญ เนื่องจากหาผู้ปฏิบัติไม่ได้ เพราะอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง บัดนี้ ข้าพเจ้าได้นำมาขยายความให้ครบทุกหลักสูตรแล้ว ความยากไม่มีอีกต่อไป ใครๆ อ่านก็เข้าใจ ส่งผลให้ปฏิบัติได้ทันที นี่คือ ผลงานของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าทำได้อย่างอัศจรรย์

ข้าพเจ้าเป็นผู้ทำวิชาปราบมาร จนถึงขนาดนำผลงานปราบมารมาเสนอแล้วรวม ๕ ภาค จะไม่มีความสามารถนำวิชาธรรมกายทุกบทมาอธิบายได้นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ แค่นี้ ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้อย่างไร ? เพราะการปราบมารใช้ความรู้ชั้นสูงทั้งนั้น หากใช้ความรู้ธรรมดา มารจะดับได้อย่างไร ? นี่คือเหตุผล

ข้าพเจ้าขอเตือนทุกคนว่า วิชาธรรมกายยากทั้งนั้น มารเขาจ้องหาจังหวะอยู่แล้ว ให้ระวังอย่าให้วิชาเพี้ยน เพราะมารเขาแทรกซ้อนเข้ามาได้ เราเป็นฐานทัพให้เขาโดยเราไม่รู้ตัว มารเขาจัดสรรให้ทั้งนั้น เขาอยู่หลังฉาก จะเอาเงินหรือ ? จะเอายศถา-บรรดาศักดิ์หรือ ? จะเอาอำนาจหรือ ? จะเอาชื่อเสียงหรือ ? มารเขาจัดให้ได้ทั้งนั้น เขากำกับอยู่หลังฉากโดยที่วิชาของเราละเอียดไม่พอ จึงไม่รู้เห็น ! คงหลงตัวเองตลอดไป เงินไหลเข้ามา ผู้คนเฮเข้ามา มารเขากำกับการแสดงทั้งนั้น แต่ผู้เป็นเกจิอาจารย์ไม่รู้ตัวเลย คงหลงวิชาของตนอยู่อย่างนั้น นี่คือมารทำให้เราเข้าใจผิดไปหมด เราสำคัญผิดไปหมด ข้าพเจ้าได้รู้เห็นเรื่องนี้ในตอนที่ทำวิชาปราบมารนี่เอง ซึ่งก่อนนั้นข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า เป็นบารมีของหลวงพี่ท่านแล้ว พอท่านเรียนจบ ท่านก็ออกบวช ท่านสืบสานวิชา ผู้คนให้การสนับสนุน เงินทองหลั่งไหลราวพายุ แต่พอข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารผ่านไปเข้าปีที่ ๑๐ เศษ ความคิดของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปเสียแล้ว ที่เราเคยว่าเป็นบารมีของหลวงพี่นั้น ไม่ถูกเสียแล้ว การที่เงินหลั่งไหลเข้ามาและผู้คนเฮเข้ามา เป็นเพราะมารเขากำกับทั้งนั้น มารมันทำได้ปานนั้นเชียวหรือ ? เราตกเป็นฐานทัพของมารโดยเราไม่รู้ตัว ทั้งที่เราเป็นวิชา นี่มันอะไรกัน ? คือความข้องใจของข้าพเจ้า

แล้วความข้องใจก็เบาบางลงบ้าง ที่เรา แก่-เจ็บ-ตาย ในทุกวันนี้ ไม่ใช่ฝีมือของมารหรือ ? ศาสนาเดียวกันแท้ๆ ยังแยกเป็นนิกายต่างๆ นี่ก็ฝีมือของมารเขา ที่เขาสามารถจะสอดละเอียดให้ความคิดของเราแตกแยกกันได้ ประเทศเดียวกันแท้ๆ ยังแยกเป็น ๒ ประเทศได้ เช่น เวียดนาม เกาหลี เยอรมัน เป็นต้น สรุปแล้ว มารเขาบังคับได้หมด จะให้อะไรเป็นอย่างไร ? เขาบังคับได้ทั้งนั้น ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการได้ทั้งนั้น เพราะเขาเป็นเจ้าธาตุเจ้าธรรมเขาเป็นใหญ่ เขาบังคับได้หมด มาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าได้ข้อคิดว่า วิชาธรรมกายเป็นลู่ทางของมรรคผลนิพพาน มารเขาคอยหาจังหวะที่จะสอดแทรก ก็เพื่อจะให้มรรคผลนิพพานล่มสลาย เป็นหน้าที่ของเขาอย่างนั้น การงานของเขาเป็นเช่นนั้น

เมื่องานปราบมารมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าได้รู้เห็นว่าวิชาของพวกเราเพี้ยนเสียแล้ว เสียท่าเขาเสียแล้ว ก็ได้แต่เตือนไว้ว่า ระวังวิชาเข้าไว้ ! อย่าให้วิชาเพี้ยน ! อย่าไปเชื่อเงิน อย่าไปเชื่อที่ผู้คนเฮมาสนับสนุน เพราะนั่นคือมารเขาจัดสรรทั้งนั้น เขาต้องการให้เราหลงตัวผิด ข้าพเจ้าก็บอกแล้วว่า หน้าที่ของมารเขาต้องทำอย่างนั้น งานของเขาเป็นอย่างนั้น

จงจำไว้เป็นตำรา ว่าการเรียนโดยไม่เปิดตำรา เกิดความเสียหายทั้งนั้น

คราวนี้เรามาคิดดูว่า คนที่เขาโกยเงินมาให้เรานั้น ถามว่าเขาได้รับอะไร ? ผู้คนที่เขาเข้ามาเป็นหมื่นเป็นแสนนั้น ถามว่าเขาได้อะไร ? ข้าพเจ้าก็บอกแล้วว่า มารเขาบังคับมาได้ เพราะเขาต้องการให้เราหลงผิด นี่คือวิธีของมารเขา

งานของมารคืออย่างไร ? ข้าพเจ้าก็บอกแล้วว่า ประชาชนเดือดร้อน ประชาชนขัดสน นั่นคืองานของมาร ! เกจิอาจารย์ เกิดการหลงผิดในวิชา นั่นคืองานของมาร ! มรรคผลนิพพาน ล่มสลาย นั่นคืองานของมาร !

ข้าพเจ้าจะตอบคำถามทั้งหมดให้ครบทุกประเด็น ยังตอบเช่นนั้นไม่ได้ ขอบอกแต่ว่า งานปราบมารของข้าพเจ้าในยุคปราบมารภาค ๔ เรื่องการไปพบทะเลบุญรายการต่างๆ ตามที่นำมารายงานไว้นั้น ได้ความรู้ว่า คนเฮเข้ามา เงินหลั่งไหลดังพายุนั้น เกิดจากมารเขาเข้าบังคับประชาชน พอถึงขั้นคำนวณบารมี เพราะเมื่อใครมาบำรุงพระศาสนาแล้ว ? พระพุทธองค์จะต้องให้บารมี มารเขาก็มารับบารมีแทนเรา โดยที่เราไม่มีรู้ไม่มีญาณทัสสนะไปรู้เห็น เนื่องจากเราเป็นวิชาธรรมกายอ่อนๆ แต่หลงตัวว่าเราเป็นธรรมกาย แก่กล้าแล้ว มารเขาอ้างว่า งานนี้เขาเป็นคนหาเงิน เขาเป็นคนไปเกณฑ์ผู้คนมา บารมีต้องเป็นของเขา เพียงเท่านั้นเอง พระพุทธ-องค์ก็ทรงพูดไม่ออก ไม่รู้จะทำประการใด ? เพราะมารเขาก็บังคับพระองค์ด้วย แล้วมารก็รับเอาบารมีไปอย่างสะดวกโยธิน เหตุการณ์นี้เป็นมานานแล้ว ยังไม่มีใครแก้ได้ จึงว่าเล่มปราบมารภาค ๔ มีคุณค่าอย่างยิ่ง ! ควรแก่การอ่านอย่างยิ่ง ! เพราะมีประสบการณ์เช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงเคยพูดว่า ทำบุญให้มารกิน ทำเงินให้โจรใช้ หากข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น ข้าพเจ้าจะเอาอะไรมากล่าว ? นี่คือความรู้ที่ได้จากงานปราบมาร หากใครไม่ได้อ่านปราบมารภาคต่างๆ เราจะหูตากว้างไกลได้อย่างไร ? เราก็เขลาอยู่อย่างนั้น ความรู้อย่างนี้ ความรู้ระดับนี้ ไม่มีใครในโลกบอกเราได้อีกแล้ว

ท่านที่ตั้งใจสืบสานวิชาธรรมกาย ต้องคิดให้มาก !

เพราะมารเขาซ้อนแผนได้

มารเขาจ้องอยู่แล้ว แต่พวกเราไม่ระวังวิชากันเอง เดินวิชาหลวมตัวเมื่อไร ? มารเขาแทรกได้ ! ธาตุธรรมของเราก็เปลี่ยนไป แต่เดิมธาตุธรรมของเราเป็นภาคขาว ตอนนี้ไม่ขาวดังเดิมเสียแล้ว โดยที่เราไม่รู้ตัว ธาตุธรรมทรงผิดหวังในเราอย่างมาก ผู้คนภายนอกเขาไม่รู้ ทุ่มเงินให้แก่เราหมดตัว สุดท้ายผลงานที่เราแสดงได้ก็คือ ดิน-หิน-ปูน-ทราย เป็นวัตถุที่ผู้ทำไม่ต้องใช้ความรู้อะไร ? เรามาเล่นทางงานวัตถุ ไม่มีเวลาไปฝึกฝนวิชา สุดท้ายชีวิตของเราก็จบลง ประชาชนหมดตัวและเราผู้สืบสานวิชาก็สมควรแล้วที่ธาตุธรรมพิจารณาโทษ ตัวอย่างเช่นนี้ มีให้เราได้เห็นในทุกสมัย น่าเสียใจมาก !

๑. ตัวอย่างที่ว่า แผนซ้อนแผนคืออย่างไร ? ยกตัวอย่างเพื่อให้เกิดปัญญาแก่ท่านผู้ศึกษาเล่าเรียน ดูได้จากประวัติการเผยแพร่วิชาธรรมกายในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ สมัยนั้นหลวงพ่อส่งพระลูกศิษย์ไปเผยแพร่ในต่างประเทศ ต่อมาฝรั่งได้มาบวชเพื่อศึกษาวิชาธรรมกายที่วัดปากน้ำ ครั้นต่อมามีเหตุการณ์ว่า พระฝรั่งออกไปจากวัดปากน้ำ นี่คือแผนซ้อนแผน ภาคขาวเผยแพร่ แต่ภาคมารมาทำให้แผนล่มสลาย

๒. ตัวอย่างวิชาซ้อนวิชา คือวิชาของภาคขาวมีอยู่อย่างไร ? หลวงพ่อท่านสอนไว้แล้ว ตำรามีไว้แล้ว แต่ศิษย์ที่มาศึกษาเล่าเรียน ไม่ทบทวนตำรา ไม่ยึดมั่นตำรา ถือว่าเคยเรียนมาจากครูอาจารย์อย่างไร ? ก็เดินวิชาไปตามนั้น ยึดมั่นถือมั่นไปอย่างนั้น โดยรังเกียจตำรา และหันหลังให้กับตำรา ตัวอย่างนี้มีให้สังเกตในยุคปัจจุบันนี้

๓. ตัวอย่างแผนซ้อนแผนอีกตัวอย่างหนึ่ง คือเรามีเจตนาสร้างบารมีเต็มที่ ตั้งใจเรียนวิชาธรรมกายเต็มชีวิต ตั้งใจเผยแพร่วิชาธรรมกายเต็มชีวิต พูดอย่างเข้าใจง่ายก็คือ สละชีวิตกันเลยทีเดียว เหตุที่ตั้งใจเช่นนั้น เพราะบารมีเดิมเป็นทุนไว้แล้ว เพียงแต่เราดำริว่าจะบวช คนทั้งหลายก็ทุ่มกำลังช่วย ไม่ว่าจะทำอะไร ? เป็นเงินเป็นทองไปหมด แต่ความรู้เพี้ยนไปหมด

นี่คือแผนซ้อนแผน ภาคขาวให้คนของท่านมาสร้างบารมี แต่ภาคมารเขาซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ กำกับการอยู่หลังฉาก บารมีเกิดขึ้นเท่าไร ? มารเขามารับไปหมด ดังที่กล่าวผ่านมาแล้วนั้น แผนนี้เราเจ็บปวดมาก แม้ข้าพเจ้าไม่ยกตัวอย่างว่าที่ใด ? ท่านคงเดาออกเอง

ข้าพเจ้ากำชับว่าวิชาอย่างเพี้ยน ! ถ้าวิชาเพี้ยนไปเมื่อไร ? มารเขาก็เขมือบเราเมื่อนั้น ให้มักน้อยเข้าไว้ ! อย่าอยากรวย ! ให้ถือคติว่า " ฤๅษีผอม " คือนักบวชต้องขัดสน ให้หนีจากยศถา-บรรดาศักดิ์ทั้งปวง อย่าอยากดัง ! อย่าอยากมีชื่อเสียง ! ระวังศีล ระวังวินัยอยู่ทุกคืนวัน วินัยพระสงฆ์ต้องถือไว้ในมือ อย่างที่หลวงปู่ชั้วท่านปฏิบัติ หากไม่ทำตามที่ว่านี้ โอกาสที่จะรอดตัวดูว่ายากมาก ! เพราะเขาจ้องอยู่แล้ว

เหตุใดมารจึงต้องหนุนเราโดยแฝงตนอยู่ในที่ลับ ?

ให้เราได้เงิน ได้อำนาจ ได้คนมาสนับสนุน

๑. ต้องการให้เราหลงตัวเอง เป้าหมายก็คือให้มรรคผลนิพพาน ล่มสลาย เราจึงหลงตัวเองว่า วิชาของเราดีแล้ว มารเขา ทำสำเร็จมาแล้วในทุกสมัย ยังไม่มีใครรู้เท่าทันกันทั้งนั้น ! แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งได้รู้ รู้แล้วก็ตกใจมาก !

๒. การที่เราได้เงินมาทำงาน ใครๆ ก็โกยเงินมาให้ ! เวลา พระพุทธองค์ทรงให้บารมี มารเขาก็มารับไป เขาอ้างว่า เขาเป็นผู้หาเงินมา แปลว่ามารเขาได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้ง ล่อง เหมือนกับเราสนับสุนนให้นักมวยเป็นแชมเปี้ยนโลก พอนักมวยของเราขึ้นชก เราก็ได้เงิน เพราะเราเป็นผู้จัด- การ สรุปว่า มารเขาเหนือเราด้วยประการทั้งปวง วิชาของ เขาเหนือเรา เขาจึงบังคับเราได้สารพัด

เหตุใดข้าพเจ้าจึงกล้านำเรื่องนี้มากล่าว ? ที่กล้านำมากล่าว ก็เพื่อให้คนยุคใหม่ได้ความรู้ที่ถูกต้องว่า การที่ใครรวยเอามากๆ ผู้คนฮือฮากันมากนั้น แท้จริงไม่ใช่บารมีของเขา แท้จริงไม่ใช่งานของภาคขาวเลย ภาคขาวจะให้เงินเรา จะต้องดูความสมควร จะต้องดูเหตุผล เพราะเป็นการใช้บารมี แต่การที่ประเคนมาให้เราแบบล้นฟ้า มันจะต้องมีอะไร ? เป็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง นี่คือการสังเกตของเรา ถ้าวิชาดี ความรู้ไม่เพี้ยน เราจะไม่ว่าอะไร ? แต่นี่ความรู้ก็ไม่เอาไหน ? เพี้ยนไปหมด อ้างว่าเรียนมาร้อยปี งานปราบมารทำมาถึงจุดนี้แล้ว เราจึงได้รู้ว่า นี่เป็นผลงานที่มารเขาทำอยู่ในที่ลับ เข้ามากำกับการทั้งหมด เอาเราเป็นฐานทัพ โดยที่เราไม่รู้เรื่อง โดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่ได้เป็นผลงานของภาคขาว ภาคขาวจะเอาเงินมากๆ มาทำอย่างนั้น เป็นการไม่สมเหตุสมผล มันผิดหลักของภาคขาว เพราะภาคขาวมีคติว่า " ฤๅษีผอม " คือนักบวชต้องขัดสนยากจน เพราะเราเผาผลาญกิเลส แต่นี่ฤๅษีอ้วน สั่งอาหารมาจากภัตตาคาร สั่งจีวรมาจากต่างประเทศ เรามาบำรุงกิเลส ให้กิเลสอ้วนมีกำลัง พฤติกรรมตามที่กล่าวมานี้ เราน่าจะนำมาคิดใคร่ครวญ แต่เรายังขนเงินไปบูชากันอีก ก็แปลว่ามารเขายังมีกำลัง มารเขามีอำนาจบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของเขา นี่คือผลงานของมาร ที่เขายังต้มเราได้

ข้าพเจ้าบรรยายมาถึงตรงนี้ ท่านถามว่า แล้วเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ? สุดท้ายก็มาถึงคำตอบสุดท้ายว่า ขึ้นอยู่กับงานปราบมารที่ข้าพเจ้าทำอยู่นี้ ถ้ามารถูกดับหมดจริง เหตุการณ์อย่างนี้จะไม่ปรากฏในโลก เพราะหมดตัวผู้บังคับ หมดตัวผู้ส่งวิชา ขณะนี้ผู้บังคับทั้งปวงของมาร ยังหลบอยู่ในเหตุลับในเหตุหาย ยังกำจัดได้ไม่หมดสิ้น ทั้งที่ข้าพเจ้าก็อยากให้หมดสิ้นจริงๆ เสียที ประชาชนจะได้มีกินมีใช้ จะได้หมดทุกข์หมดโรคกันเสียที ห่างพ้นจากการถูกหลอกกันเสียที

วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๓ เป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชชนะศึก

พระพุทธองค์ทรงรับสั่งเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งให้ข้าพเจ้าได้ทราบ

เมื่อข้าพเจ้าทราบแล้ว ข้าพเจ้าก็ทำใจ ไม่เกิดความรู้สึกเสียใจเหมือนเมื่อก่อน ทรงบอกว่า " งานปราบมารของศึกษาฯ คราวนี้ ธาตุธรรมไม่ได้ลงทุนอะไรให้แก่ศึกษาฯ เลย "

( บันทึกเล่มที่ ๒๕ หน้า ๑๙) วันนี้เป็นวันกองทัพบก เป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรฯทรงชนะศึก เป็นวันสำคัญ พระสมณโคดมทรงรับสั่งให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าก็รับฟัง จากนั้นมาที่กายธรรมของต้นธาตุ ทรงรับสั่งว่าพระองค์ก็ทราบมาอย่างนั้น ต่อจากนั้น ข้าพเจ้ามาที่ " ต้นใหญ่ " ทรงกล่าวว่า " เรื่องจับเสือมือเปล่านั้น ต้นนิพพานเป็นเคยรับสั่งไว้แล้ว ว่าธาตุธรรมไม่ได้ช่วยอะไรแก่ศึกษาฯ เลย " ต่อจากนั้น ก็มาที่ " ต้นนิพพานเป็น " ทรงกล่าวว่า " เรื่องนี้ฉันเคยบอกไว้แล้ว ว่าธาตุธรรมไม่ได้ลงทุนอะไรให้แก่ศึกษาฯ เลย ในฐานะที่ทำงานสำคัญทำงานใหญ่ " เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกจากนิโรธ ก็มาคิดว่า ชีวิตของเรานี้ทำวิชาปราบมารมาตลอด ไม่ได้หลับนอนสบายเหมือนคนอื่น จะต้องเข้าวิชารบกับมารทุกคืนวัน แม้วันที่เราเจ็บป่วย เราก็ต้องทำวิชา จะหยุดไม่ได้เลย แม้การเจ็บป่วยที่เราจะต้องตาย แต่เราก็ตายไม่ได้ อย่างเช่นป่วยด้วยโรคมะเร็งกล่องเสียง ถึงขั้นผ่าตัด ผ่าตัดแล้ว ต้องฉายแสงตามวิธีการของหมอ แต่การฉายแสงนั้น ทำให้เราน้ำหนักลดลงอย่างมาก กินข้าวไม่ได้ ลิ้นไม่รู้รส เสียวฟันเคี้ยวไม่ได้ อ่อนกำลังลง น้ำหนักลดฮวบ ทำท่าจะตาย มีงานเผยแพร่ธรรมเข้ามาในระหว่างป่วยนั้น ก็ต้องไปนั่งเป็นประธาน แม้พูดไม่ได้เพราะไม่มีกล่องเสียงแล้ว เพราะกล่องเสียงถูกตัดไปแล้ว ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการเขียนหนังสือโต้ตอบ เป็นการสื่อความกัน จะต้องสอบความรู้วิทยากรในระหว่างที่ป่วยนั้น เราก็ต้องทำงาน แม้ร่างกายจะอ่อนเพลีย แต่มันก็ไม่ตาย เกิดกัมมัฏฐานทางใจว่า เรานี้จะตาย แต่ก็ตายไม่ได้ ธาตุธรรมท่านสั่งไม่ให้ตาย วันนั้นอ่อนเพลียมาก เพราะกินข้าวไม่ได้ แต่มีงานเผยแพร่ธรรมเข้ามาระหว่างป่วยนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ไปทำงาน คือไม่ไปนั่งเป็นประธานให้ ธาตุธรรมท่านมาสั่งว่า ไม่ไปไม่ได้ ต้องไปให้เขา ข้าพเจ้าก็ต้องหอบสังขารไป ทั้งที่การป่วยไข้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น คิดว่าจะไม่ไหวเสียแล้ว แต่ก็สู้ได้ แม้จะกินข้าวไม่ได้เลย แต่ก็ไม่เป็นลม หากเราตายไป แล้วเรื่องทุกอย่างมันจบลง ข้าพเจ้ายินดีตาย แต่ในเมื่อเรื่องยังไม่จบ เพราะการปราบมารยังทำไม่เสร็จ ธาตุธรรมจะยอมให้เราตายหรือ ? แน่นอนที่สุด ที่พระองค์จะไม่ยินยอมให้เราตายแน่

คนทำวิชาปราบมาร ตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้ ใครเล่าจะทนได้ ? แต่ข้าพเจ้าก็อดทนและทนอดมาแล้ว

ในเบื้องหน้าจะอย่างไร ? ข้าพเจ้ายังไม่รู้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่แบบคนป่วย พูดไม่ได้ แต่ใช้เครื่องช่วยพูดก็พอพูดอ้อแอ้ได้บ้าง พอฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง ก็ยังดีที่พอสื่อความกันได้บ้าง ต้องไปหาหมอตลอด ต้องกินยาตลอด น่าเบื่อหน่าย การกินอยู่หลับนอนไม่เหมือนคนปกติ รวมความว่า น่าเบื่อหน่าย ! ถึงจะเบื่อหน่ายปานใด ? เราก็ต้องทำวิชาปราบมารตลอด แม้นอนหลับอยู่ ก็ต้องตื่นขึ้นมาทำวิชา อารมณ์ของข้าพเจ้าขึ้นๆ ลงๆ เสมอ ขึ้นอยู่กับผลของการเดินวิชา ถ้าดับมารได้ อารมณ์จะโปร่งใส แต่ถ้าดับมารได้ไม่หมด วิชาไม่เดินหน้า อารมณ์จะขุ่นมัวทันที เกิดอาการทุกข์ร้อนทันที คิดทันทีว่าจะเดินวิชาประการใดต่อไปอีก ใครมาขวางหน้า ? เป็นอันไม่ถูกใจไปหมด ทั้งที่ไม่มีใครมาด่าพ่อด่าแม่เรา เหตุใดอารมณ์ของเราแปรผันไปได้ ? ทั้งเราก็ควบคุมใจของเราอยู่แล้ว

นี่คือมารละเอียดเขามาดลใจอยู่ ยังไม่หมดไปจากใจ เขายังมาบังคับเราได้ เขาจะให้นึกคิดอย่างไร ? มารเขาทำได้ทั้งนั้น ตลอดชีวิตของข้าพเจ้าสู้กับมารมาตลอด เอาใจไปจดจ่ออะไรไม่ได้เลย ต้องเอาใจเดินวิชาตลอดวันตลอดคืน หากเว้นจากการทำวิชาเพียงวันเดียว นั่นคือความหนักอกหนักใจจะมาสู่วิชาไม่ก้าวหน้า ต้องกลับไปตั้งต้นกันใหม่ เสียเวลามาก เสียอารมณ์มาก วิชาดี อารมณ์จึงจะปกติ

จะเห็นว่า งานปราบมารทำได้ยาก ! จึงเห็นใจหลวงพ่อ เห็นใจทุกคนที่ทำวิชาปราบมาร ไม่ว่าจะทำได้ผลหรือไม่ ? ข้าพเจ้ามีความเห็นใจในเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้ารู้ถึงความทุกข์ยากของเขาเหล่านั้น เพราะเส้นทางนี้ ข้าพเจ้าเดินมาแล้ว

พูดถึงความทุกข์ยากของหลวงพ่อ ยังไม่มีใครเล่าให้ฟัง ก่อนที่หลวงพ่อจะมาบวชนั้น ทุกข์ยากอย่างไร ? เพราะคนที่จะบรรลุธรรมอย่างนี้ก็ดี หรือจะลงมาเกิดเพื่อปราบมารตามที่ธาตุธรรมผู้ใหญ่ท่านใช้มาก็ดี พอเราเข้าสู่ครรภ์มารดา มารเขาก็ขยี้เราทุกรูปแบบแล้ว พอคลอดออกมาเป็นทารกน้อย ไม่ว่าใครก็ตาม จะมีประวัติว่าจะตายสถานเดียว ไม่มีอะไรราบรื่นเหมือนชาวบ้านเขา มีแต่เรื่องหวาดเสียว มีแต่เรื่องจะตาย มีแต่เรื่องอุปสรรค มีแต่เรื่องอันตราย สารพัดเรื่องที่จะโคจรเข้ามาบดขยี้เรา หลวงพ่อเก็บเรื่องไว้ไม่เล่าให้ศิษย์ได้ทราบ เกรงว่าถ้าเล่าให้ฟังแล้ว ศิษย์ทั้งหลายจะเกิดการย่อท้อต่อชีวิต ข้าพเจ้าพยายามจะรู้ ถามลูกหลานของหลวงพ่อ เขาเกิดทีหลังเขาก็ไม่ทราบอะไร ? คนวัยเดียวกับหลวงพ่อท่านก็ตายไปหมดแล้ว จึงหมดโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้ แต่ข้าพเจ้าก็พอเดาได้ เพราะอะไรจึงกล่าวอย่างนั้น ? ดูตัวของข้าพเจ้าเอง โดยฟังจากพี่สาวคนโตที่เลี้ยงเรามา เขาก็จะว่า " มีแต่ประวัติจะตายรายวัน " ทั้งนั้น เมื่อตอนเป็นทารกน้อยกำลังคลาน ก็มีประวัติว่าตกน้ำ โตขึ้นหน่อยยังวิ่งแก้ผ้า ต้องไปเลี้ยงควาย ถูกควายขวิด แต่ก็รอดมาหวุดหวิดทุกคราวไป พอเข้าโรงเรียนประถมศึกษา มีแต่เจ็บไข้ตลอด น่ารำคาญ ครั้นมาเรียนระดับมัธยมก็ยังป่วยไข้อยู่อย่างนั้น คุณพ่อต้องดั้นด้นพามาฝากญาติที่กรุงเทพฯ เพื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ พอค่อยยังชั่วขึ้น กลับไปเรียนในโรงเรียนกันใหม่ เจ็บไข้ก็เป็นๆ หายๆ เรียนจบชั้นมัธยมแล้ว เข้าไปเรียนฝึกหัดครูในกรุงเทพฯ ระหว่างที่เรียนฝึกหัดครูอยู่นั้น ได้ไปหาหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ ฝึกเรียนวิชาธรรมกายจากหลวงพ่อ อาการของโรคปวดศีรษะจึงค่อยทุเลาลง แล้วก็หายเป็นปกติ ทำไมป่วยไข้เรื้อรังของเราจึงต้องมาหายด้วยวิชาธรรมกาย ? นี่คือคำถามที่เราถามตัวเอง

พอเรียนจบโรงเรียนฝึกหัดครูแล้ว ก็เข้ารับราชการเป็นครูในกรุงเทพฯ ที่โรงเรียนโยธินบูรณะและที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศเป็นเวลา ๑๐ ปี ระหว่างที่เป็นครูอยู่นี้ ไปเรียนวิชาธรรมกายในวัดปากน้ำกับแม่ชีทองสุข สำแดงปั้น ไม่ขาดระยะเลย เปลี่ยนตำแหน่งราชการจากการเป็นครู ไปเป็นศึกษาธิการอำเภอในต่างจังหวัดในปี ๒๕๐๙ เริ่มแรกเป็นศึกษาธิการอำเภอในต่างจังหวัด ตามจังหวัดต่างๆ ดังนี้

(๑.) เป็นศึกษาธิการอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่ปี ๒๕๐๙-๒๕๑๔

(๒.) ย้ายไปเป็นศึกษาธิการอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ตั้งแต่ปี ๒๕๑๔-๒๕๒๓

ตอนเป็นศึกษาธิการอำเภอป่าโมก ได้พบกับแม่ชีถนอม อาสไวย์ สำนักของท่านเป็นบ้านส่วนตัว อยู่ข้างวัดท้องคุ้ง อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง หน้าบ้านเขียนป้าย " สำนักวิปัสสนา แม่ชีถนอม อาสไวย์ สาขาวัดปากน้ำ " อยู่ติดเส้นทางหลวง รถประจำทางผ่าน นั่งรถประจำทางแล้วจะมองเห็นป้ายถนัด

วันที่ข้าพเจ้าย้ายมาเป็นศึกษาธิการอำเภอป่าโมก ต้องไปรายงานตัวต่อผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองก่อน ก่อนที่จะเข้าทำงานในตำแหน่ง ขณะที่นั่งรถประจำทางไปศาลากลางจังหวัดอ่างทอง เพื่อรายงานตัวต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นป้ายชื่อสำนักของแม่ชีถนอม เห็นป้ายชื่อสำนักแล้ว ก็นึกออกว่าเจ้าสำนักคือใคร ? เพราะเราเคยเห็นท่านที่วัดปากน้ำ ตั้งใจว่าเสร็จงานราชการการรายงานตัวต่อผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว เราจะมาแวะดูสำนักวิปัสสนาของท่านให้ได้

ครั้นเสร็จงานราชการแล้ว ข้าพเจ้าก็มาเยี่ยมสำนักดังที่ตั้งใจ ข้าพเจ้าจำแม่ชีถนอมได้ เพราะท่านกินหมากชอบบ้วนน้ำหมากบนโคกโบสถ์วัดปากน้ำ แต่ไม่คุ้นเคยกับท่าน ท่านเห็นข้าพเจ้าแต่งกายแบบเครื่องแบบราชการ ท่านก็ไต่ถามถึงความเป็นมา " มาทำราชการตำแหน่งอะไรที่จังหวัดอ่างทองนี้ ? ไม่เคยมีข้าราชการมาพบอีฉันเลย " ข้าพเจ้าก็บอกท่านว่า " ผมมาทำราชการในตำแหน่งศึกษาธิการอำเภอป่าโมก ย้ายมาจากจังหวัดจันทบุรี วันนี้มารายงานตัวต่อจังหวัด ถือโอกาสมาคารวะแม่ชีด้วย " ท่านถามว่า " เคยรู้จักอีฉันมาก่อนหรือ ?" ตอบว่า " ผมจำแม่ชีได้ เพราะผมไปเรียนวิชาธรรมกายในวัดปากน้ำ แม่ชีกินหมากปากแดง บ้วนน้ำหมากบนโคกโบสถ์วัดปากน้ำ " แม่ชีหัวเราะ " พ่อคุณจำอีฉันได้แม่น " แล้วก็ถามว่า " เรียนวิชาธรรมกายมาอย่างไร ? เรียนกับใคร ? เรียนวิชาอะไร ? ไหนลองเล่าวิชาให้อีฉันฟังหน่อยได้ไหม ?"

ข้าพเจ้าตอบว่า เรียนกับแม่ชีทองสุข สำแดงปั้น ท่านก็พูดขึ้นว่า " อ๋อ !...เรียนกับแม่สุขหรือ ? ไหน...ลองว่าวิชาให้อีฉันฟังหน่อยซิ " แล้วข้าพเจ้าก็เล่าเนื้อวิชาที่เรียนมาให้ท่านฟัง ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ลากลับ

ต่อมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าไปเยี่ยมท่านใหม่ เพราะระยะทางใกล้กันมาก สำนักของแม่ชีถนอมกับอำเภอที่ข้าพเจ้าทำงาน รถประจำทางวิ่งไม่เกิน ๑๐ นาที การพบกันคราวนี้แม่ชีถนอมพูดเปิดใจในวิชาธรรมกายที่ข้าพเจ้าเรียน ท่านพูดเป็นคำแรกว่า " วิชาที่คุณศึกษาฯ เรียนมานี้ มันเพี้ยนไป ! ยังไม่ถูกแนวของหลวงพ่อ " ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ชอบใจ เพราะข้าพเจ้าเกิดการยึดมั่นถือมั่นเสียแล้ว เพราะเรียนมานานปี มันฝังจิตฝังใจเสียแล้ว เป็นวิชาที่หลวงพ่อค้นคว้าได้ เราเรียนมาแล้วทำไมแม่ชีคัดค้าน ? ข้าพเจ้าเกิดความไม่พอใจ แต่ก็ไม่แสดงออกอะไร ? เพราะเราเป็นข้าราชการ ไปบ้านเขาแล้วยังไปต่อล้อต่อเถียงเขา มันเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง นี่คือความรู้สึกที่ข้าพเจ้ายังจำเหตุการณ์ไม่ลืม

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงบ้านพัก ตกกลางคืนก็มาใคร่ครวญถึงคำพูดของแม่ชีถนอม ว่าแม่ชีถนอมต้องมีเหตุผลอะไร ? ท่านจึงแสดงความเห็นเช่นนั้น เราต้องฟังท่านดูก่อน เพราะแม่ชีถนอม อาสไวย์ เป็นผู้ที่มีชื่อว่าแก้โรคเก่งนัก ใครๆ ก็ทราบกิตติศัพท์เรื่องนี้ ตัดความเห็นส่วนตัวของเราออกไป ฟังความรู้ของท่านก่อนว่า ท่านจะอธิบายอย่างไร ? การที่เรายึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นเพราะเราเรียนมานาน มันฝังกระดูกเสียแล้ว จึงยากที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ครั้นข้าพเจ้าอบรมใจของข้าพเจ้าได้แล้ว ทำให้ทิฏฐิมานะลดลงบ้าง จึงกลับไปหาแม่ชีถนอมอีกครั้ง คราวนี้แม่ชีถนอมสั่งให้ข้าพเจ้าเดินวิชา ๑๘ กายตามแบบหนังสือ ๑๘ กายของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ทำตามโดยไม่มีใจโต้แย้ง ไม่เดินวิชาแบบเดินฌานดังที่เคยฝึกกับแม่ชีทองสุข สำแดงปั้น

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอย่างทันใด ! มันเป็นเหตุการณ์กะทันหัน

เพราะข้าพเจ้ายังเดินวิชา ๑๘ กายเบื้องต้นไม่ชำนาญ แต่เดิมนั้น เรียนวิชาแบบเดินฌานสมาบัติตามแบบวิธีของแม่ชีทองสุข แล้วจู่ๆ เจ้าคณะจังหวัดอ่างทองก็มาเชิญข้าพเจ้าให้ไปสอนพระสงฆ์ที่มาอยู่ปริวาสกรรมที่วัดของท่านจำนวน ๔๐๐ รูป เป็นความลำบากใจที่ข้าพเจ้าต้องถวายความรู้แก่พระสงฆ์อย่างไม่มั่นใจ แต่งานนี้ส่งผลให้ข้าพเจ้าลดทิฏฐิมานะลงได้อย่างอัศจรรย์ ไม่โต้แย้งการสอนของแม่ชีถนอมเหมือนครั้งแรกที่มาพบท่าน เพราะโดยปกติแล้ว ทิฏฐิมานะนั้นแก้ยาก ! เนื่องจากมันเป็นเรื่องฝังจิตฝังใจ ยากต่อการแก้ไขในเวลาจำกัดเช่นนี้ เป็นบุญของข้าพเจ้าแท้ๆ ที่ทิฏฐิมานะหมดไปจากใจ

จำได้ว่า พระวิฑิตธรรมภาณ เจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง (วัดต้นสน อ.เมือง จ.อ่างทอง) ท่านมาเชิญไปสอน (ต่อมาเลื่อนตำแหน่ง เป็นพระราชาคณะชั้นราช ได้ราชทินนามว่าพระราชสุวรรณโมลี) วันนั้นมีพระสงฆ์กำหนดดวงปฐมมรรคได้ ๑ รูป ข้าพเจ้าก็ต่อวิชาจนพระสงฆ์รูปนี้ทำวิชา ๑๘ กายได้ เพียงรูปเดียวเท่านั้น ตั้งแต่ ๙ โมงเช้าจนจบวิชา ๑๘ กายก็เพลพอดี เสร็จจากต่อวิชาแล้ว พระเดชพระคุณก็ได้เวลาฉันภัตตาหารพอดี

งานนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้าหมดทิฏฐิมานะอย่างอัศจรรย์เพราะอะไรหรือ ? ก็เพราะว่าแม่ชีถนอมท่านสอนให้ข้าพเจ้าเดินวิชา ๑๘ กาย แล้ววันนี้เราก็ถวายความรู้วิชา ๑๘ กาย แก่พระสงฆ์ที่ทำดวงปฐมมรรคได้ หากเราสอนตามวิธีการเดินฌานสมาบัติที่แม่ชีทองสุขสอนนั้น ถามว่าอะไรจะเกิดขึ้น ? และตำราที่เรานำมาถวายแก่พระสงฆ์ คือตำราเล่ม ๑๘ กายซึ่งเราได้เช่าซื้อมาจากวัดปากน้ำ อันเป็นความรู้เบื้องต้นที่หลวงพ่อท่านสอน หากความรู้ที่เรากล่าวนั้น ไม่ตรงกับตำราของหลวงพ่อ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นแก่เรา ?

นี่คือ คำถามที่เราถามตัวเอง ! ?!

พระสงฆ์ที่ฝึกจนเกิดดวงปฐมมรรค แล้วเราถวายความรู้ด้วยการต่อวิชาจนท่านทำวิชา ๑๘ กายได้ ตามตำรา ๑๘ กายของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเกิดความดีใจ ! การที่เราทำได้เป็นเพราะแม่ชีถนอม อาสไวย์ ท่านให้เราฝึกเดินวิชาแนวนี้เมื่อวันสองวันนี้เอง แล้วเราก็มาพบปัญหาเฉพาะหน้า ที่เราจะต้องต่อวิชาแก่พระสงฆ์ และพระสงฆ์ท่านก็ทำวิชา ๑๘ กายได้ตามตำราที่เราบอก

นี่คือ เหตุผลที่ทำให้ข้าพเจ้าหมดทิฏฐิมานะ ไม่ค้านแม่ชีถนอมอีกต่อไป

สรุปว่า แม่ชีถนอม ท่านปูพื้นฐานความรู้วิชาธรรมกายให้แก่ข้าพเจ้าใหม่ทั้งหมด ส่งผลให้ข้าพเจ้าทำวิชาแก้โรคได้ ต่อมาอ่านตำราของหลวงพ่อรู้เรื่องทุกหลักสูตร และเข้าใจได้เกือบทุกบท การสอนของข้าพเจ้าได้ผลมากยิ่งขึ้น สอนได้เฉียบคมขึ้น

เหตุการณ์ต่อมา ชีวิตราชการของข้าพเจ้าย้ายตำแหน่งราชการไปจังหวัดต่างๆ เพราะงานราชการเป็นเหตุ ทำให้ข้าพเจ้าติดต่อกับแม่ชีถนอม อาสไวย์ ไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน แต่งานเผยแพร่นั้น ข้าพเจ้ายังทำต่อไป เหตุผลที่ข้าพเจ้าทำการเผยแพร่ เป็นเพราะเขามาเชิญไปสอน ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ธาตุธรรมก็ให้ทำวิชาปราบมาร ครั้นต่อมา เป็นขั้นตอนเอาวิชาธรรมกายทุกหลักสูตรมาขยายความให้เกิดความง่ายขึ้น เพื่อให้อ่านแล้วเข้าใจและปฏิบัติได้ เพราะวิชาธรรมกายยากทั้งนั้นไม่ว่าหลักสูตรใด ? เหตุจูงใจที่ทำให้ข้าพเจ้าเขียนขยายความวิชาธรรมกาย เกิดจากแต่เดิมนั้น ได้ยินพระสงฆ์ท่านปรารภว่า ตำราวิชาธรรมกายหลักสูตรเบื้องต้นคือเล่ม ๑๘ กายนั้น แม้จะกำหนดดวงปฐมมรรคได้ ก็ยังทำวิชา ๑๘ กายไม่ได้ เพราะตำราไม่แสดงวิธีเดินวิชาให้ชัดเจน ได้แต่บอกหลักกว้างๆ ไว้เท่านั้น จึงไม่เหมาะแก่ผู้มีนิสัยปัจจัยน้อย แต่เมื่อผู้มีบารมีธรรมชั้นสูงเขาอ่านแล้ว เขาก็ทำวิชาได้ ไม่มีปัญหาแก่เขา

เมื่อวิชาเบื้องต้นยังมีปัญหาปานนี้ แล้ววิชาธรรมกายระดับสูง ใครเล่าจะรู้เรื่อง ? เมื่อหาคนรู้เรื่องไม่ได้ ส่งผลให้การเผยแพร่ของเราล้มเหลว แล้ววิชาธรรมกายก็จะสูญไปในที่สุด เนื่องจากไม่มีใครปฏิบัติได้ นั่นเอง ความคิดนี้เอง ข้าพเจ้าคิดมาตลอด แล้วข้าพเจ้าก็ดูว่า ทุกวันนี้มีใครบ้าง ? ที่จะมีความรู้อธิบายได้ ท่านที่รู้เพียงบางบทนั้นพอหาได้ แต่ท่านที่จะอธิบายได้ทุกหลักสูตรและทุกบทนั้น ยังหาผู้รู้ไม่ได้ นี่คือความจริงที่เราทราบ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขยายความให้ความรู้วิชาธรรมกายทุกหลักสูตรเกิดความง่ายขึ้น สามารถฝึกและเดินวิชาได้ อ่านรู้เรื่อง เกิดความเข้าใจ และเดินวิชาได้ บางหลักสูตรไม่ได้ทำคำถามไว้ท้ายบท เนื่องจากหลักสูตรเหล่านั้นเขียนขึ้นระหว่างรับราชการ ไม่มีเวลาทำ บางหลักสูตรทำท้ายบทไว้ด้วย ให้ผู้เรียนตอบคำถามเหมือนกับวิชาการที่เราเรียนในโรงเรียน ทำให้ผู้เรียนเข้าใจทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

นี่คือ ผลงานเขียนที่เป็นหนังสือ เป็นข้อมูลที่เป็นรูปธรรม ซึ่งท่านผู้เป็นบัณฑิตจะได้พิจารณา ไม่ใช่เราจะมาพูดเล่าลือกันแต่ปาก จะยกย่องใคร ? ก็พูดกันไปลือกันไป จะกดใคร ? หรือไม่ชอบใคร ? ก็ลือกันไป วิธีการเช่นนั้น เอามาพิจารณาอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรเป็นข้อมูลให้พิจารณา

งานอีกประการหนึ่ง คือตำราปราบมารที่ข้าพเจ้าทำไว้เล่มนี้เป็นภาคที่ ๕ รวมความว่า เรื่องราวปราบมารเขียนเป็นตำราไว้ ๕ ภาคแล้ว เป็นความรู้ชั้นสูง ที่ท่านผู้สนใจจะได้เรียนรู้ เนื่องจากมีตำราเป็นตัวหนังสือ หนังสือเช่นนี้มีขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก หากไม่มีตำรา ก็ว่ากันไป พูดกันมา ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไร ?

การที่มีตำราสำคัญเกิดขึ้นเช่นนี้ เป็นเพราะแม่ชีถนอม อาสไวย์ เป็นผู้ปรับปรุงความรู้ของข้าพเจ้าไม่ให้เกิดความเพี้ยนสมมุติว่าโลกนี้ไม่มีแม่ชีถนอม อาสไวย์ ถามว่า ตำราสำคัญอย่างนี้เกิดขึ้นในโลกได้หรือไม่ ? แล้วอะไรจะเกิดแก่โลก ?

นี่คือประเด็นของคำถามที่ท่านอยากให้ข้าพเจ้าสรุปให้เห็น

วันนี้ ข้าพเจ้าขอพูดว่า แม่ชีถนอม อาสไวย์ มีคุณค่าอย่างยิ่ง ! หากไม่มีแม่ชีผู้นี้ ข้าพเจ้าจะมีความหมายอะไร ?

ความจริงเราก็พบเห็นคนเป็นวิชาธรรมกายกันมากตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ เราก็เห็นศิษย์ของหลวงพ่อที่เป็นวิชา ธรรมกายกันมาก และเรายังได้เห็นคนเป็นวิชาธรรมกายสืบต่อมาจนถึงยุคปัจจุบันด้วย แต่คนที่มีความรู้ถึงขนาดให้เหตุผลได้อย่างแม่ชีถนอมนั้น เรายังไม่เคยพบ ท่านพูดเลยว่าข้าพเจ้าเรียนมาเพี้ยนเสียแล้ว ! เรานึกเคืองอยู่ในใจเหมือนกัน ครั้นมีเหตุการณ์ว่าเราต้องไปสอนเขาอื่น แม้วิชาเบื้องต้นคือวิชา ๑๘ กาย เราก็ไม่มีปัญญาที่จะต่อวิชาให้เขาได้ ทั้งที่ตำราของหลวงพ่อก็แจ้ง วิชา ๑๘ กายไว้ชัดแล้ว แล้วจะว่าตัวเราเองเรียนมามาก ! มีความรู้มาก ! เรียนมาจริง ! และมีความรู้จริง ! แต่ความรู้นั้นผิดพลาดคลาดเคลื่อน เราไม่รู้ ! เราได้แต่เรียนตามที่เขาสอน เราไม่ทบทวนกับตำรา เรื่องนี้เป็นความเสียหาย ข้าพเจ้าได้พบมาแล้ว ดีแต่ว่าเรามีบุญ ได้มาพบผู้รู้จริง ท่านชี้แจงเหตุผลทางวิชา เราจึงหายข้องใจไปทีละเรื่องสองเรื่อง

บรรยายมาถึงตรงนี้ ทำให้นึกถึงท่านอื่นว่า เขาตรวจสอบความรู้ของเขาแล้วหรือยัง ? ก็เรียนมาอย่างข้าพเจ้า มีประสบการณ์มาคล้ายๆ กัน ข้าพเจ้าจึงกล่าวอะไรไม่ได้ ? เพราะพูดไปก็พาดพิงคนอื่น เป็นการเสียมารยาท ก็ได้แต่กล่าวว่า ความรู้ของเราเคยสอบทานกับตำราบ้างหรือไม่ ? ถ้าไม่ตรวจทานกับตำรา แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าความรู้ของเราถูกต้อง ? หากความรู้เราเพี้ยน มารเขาก็ชอบใจ เพราะมารเขาเป็นเจ้าของแห่งความเพี้ยน เขาเป็นเจ้าแห่งความผิดพลาดทั้งปวง มารเขามีหน้าที่ทำให้วิชาของเราผิด เขามีหน้าที่ทำให้วิชาเราเพี้ยน เราจะพบเสมอว่า พวกเราเรียนไปเรียนมา สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย ข้าพเจ้าเห็นใจทุกท่าน เพราะวิชาธรรมกายนั้น มารเขาขัดขวาง มารเขาหวง มารเขาคอยปกปิดไม่ให้เราได้รู้เห็น เพื่อสกัดไม่ให้เราได้ไปรู้เห็นงานของเขา เขาจะได้ต้มภาคขาวอย่างสบายมือต่อไป นั่นเอง

ด้วยเหตุผลที่ว่านี้เอง พวกเราจึงมีความรู้แบบเพี้ยนๆ แบบผิดๆ แบบคาบลูกคาบดอก ข้าพเจ้าเพิ่งมาได้คิดเมื่อตอนมีอายุมากนี่เอง แต่ก่อนข้าพเจ้าไม่รู้อะไร ? ก็เรียนตามเขาไป ครูเขาว่าอย่างไร ? เราทำตามอย่างนั้น กว่าเราจะรู้เรื่องจริง ที่ไหนได้ ! เราเรียนพลาดมาตลอด กว่าจะแก้ตัวได้ ก็สายเกินแก้เสียแล้ว

ข้าพเจ้าจึงขอย้ำว่า การเรียนวิชาธรรมกายไม่เหมือนวิชาการใดๆ ในโลก เพราะต่อสู้กันระหว่างภาคพระกับภาคมาร ต้องวางรากฐานความรู้ให้ถูก หากความรู้พื้นฐานพลาดไปแล้ว ส่งผลกระทบต่อความรู้ชั้นสูงทั้งหมด มารเขาได้เปรียบตั้งแต่วางพื้นฐานความรู้แล้ว คนที่เขารู้จริง เราไม่มีโอกาสได้พบเขา ข้าพเจ้าจึงว่าเป็นโชควาสนาของแต่ละบุคคล นี่แหละที่ข้าพเจ้าพูดว่า " เป็นธรรมกายเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน "

เราเรียนวิชาธรรมกาย เหมือนหนึ่งเราขี่เสือ

ลงจากหลังมันเมื่อไร ? เสือกัดเราเมื่อนั้น !

บรรยายมาถึงตรงนี้ ทำให้นึกถึงคำกล่าวของหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อท่านพูดกับแม่ชีถนอม อาสไวย์ ว่า " เราเรียนวิชาธรรมกาย เหมือนหนึ่งเราขี่เสือ ลงจากหลังมันเมื่อไร ? เสือกัดเราเมื่อนั้น ! "

คำกล่าวนี้ แม่ชีถนอมท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้านึกได้พอดี ซึ่งคำกล่าวนี้ เป็นจริงด้วยประการทั้งปวง ข้าพเจ้าก็บอกแล้วว่า วิชาธรรมกายนั้นมารเขาหวง เขาคอยกีดกัน เขาคอยสอดละเอียดในทุกเรื่อง เพื่อให้วิชาของเราผิดเพี้ยนตลอดเวลา ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว

คราวนี้มาพิจารณาคำกล่าวของหลวงพ่อ หมายความว่ามารเขาจ้องหาจังหวะจะเล่นงานในทุกรูปแบบ หากเราลงจากหลังเสือ ก็คือเราไม่หมั่นเดินวิชาให้ใสไว้เสมอ ปล่อยให้วิชาเฝือหรือเรื้อรัง มารเขาก็ยึดธาตุธรรมของเราทันที ไม่ว่าเราจะไปทำอะไร ? ไม่เป็นผลดีทั้งนั้น ไม่เคยเจ็บป่วย เราก็ต้องเจ็บป่วย ไม่เคยเสียเงิน เราก็ต้องเสียเงิน ใจคอหงุดหงิดไปหมด เดินวิชาไม่ได้เป็นปกติ ก็คือว่ามารเขายึดธาตุธรรมของเราแล้ว นี่คือความเสียหาย ดังนั้น เราต้องหมั่นเดินวิชาไว้ทุกคืนวัน เว้นไม่ได้เลยทีเดียว เราเดินวิชาก็คือวิชาของเราบังคับกิเลสได้ บังคับมารได้ เราขี่คอเขาได้ เราขี่หลังเขาได้ หากเราไม่หมั่นเดินวิชา ไม่หมั่นทำวิชา ก็เหมือนเราลงจากหลังเสือ เสือเปรียบเหมือนกิเลส เปรียบเหมือนมาร มันเห็นว่าวิชาของเราอ่อนลงแล้ว วิชาหมดกำลังแล้ว มันก็ตะครุบกัดเราทันที มันกัดเราเนื่องจากเราอ่อนกำลัง แต่ในขณะที่เราเดินวิชานั้น เรามีกำลัง ใครก็ไม่กล้าเข้ามาราวีเรา ?

คำว่า " สอดละเอียด " เป็นคำเฉพาะของวิชาธรรมกาย

หมายถึง การสอดแทรกของมาร สอดแทรกเข้ามาบังคับวิชาของธรรมภาคขาว ธรรมภาคขาวรู้ไม่ทันเขา ไม่รู้เห็นวิชาของเขา เนื่องจากเขาทำวิชาอย่างละเอียด เนื่องจากเขาละเอียดกว่า เราจึงไม่เห็นวิชาของเขา จึงเรียกว่า " สอดละเอียด " หรือเรียกว่าบังคับ หรือเรียกว่าดลใจ ก็คือการเข้ามาบังคับ นั่นเอง ฝ่ายใดทำวิชาได้ละเอียดกว่า ? ฝ่ายละเอียดกว่าเป็นผู้ชนะ ฝ่ายใดวิชาหยาบกว่า ? ฝ่ายนั้นเป็นผู้แพ้

เหตุใดมารต้องสอดละเอียดเข้ามา ในธรรมของภาคขาวเนืองๆ ?

นี่คือคำถาม ซึ่งท่านต้องการให้ข้าพเจ้าอธิบายให้ชัดเจน เรื่องสอดละเอียดของมารนั้น ข้าพเจ้าได้อธิบายไว้ในที่หลายแห่งแล้ว ให้ท่านไปค้นหาอ่านจากหนังสือปราบมารภาคต่างๆ ดูได้ คำตอบก็คือ มารเขาต้องการรู้เห็นอะไรทั้งหมดในภาคขาว ต้องการรู้กำลัง ต้องการรู้ขุมทรัพย์ ต้องการรู้แสนยานุภาพทางวิชา เพื่อเขาจะได้วางแผนเข้ามาปกครอง หากเขาได้อำนาจปกครองเมื่อไร ? เขาก็ได้ทรัพย์สินของภาคขาวทั้งหมด (คือได้ดวงบารมีของภาคขาวทั้งหมด) ทรัพย์สินทั้งปวงที่เขาได้ไปนั้น นำไปบำรุงความสุขให้แก่เขา

เช่นเดียวกับในทางโลก เราอยู่ในปกครองของประเทศใด ? เราก็ต้องนำส่วยคือเงินภาษีและสินค้าต่าง ๆ ของเมืองเราไปให้เขา หากมีลูกสาวสวย ก็ต้องนำไปทูลเกล้าถวายเขาด้วยถ้าเขาต้องการ เขาจะเอาอะไร ? เราต้องจัดหาให้ทั้งนั้น ดังเรื่องราวที่เราได้เรียนมาในวิชาประวัติศาสตร์นั้น หากเราไม่นำดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปคำนับ เขาก็จะยกกองทัพมาย่ำยีเรา

แต่การใช้อำนาจบังคับของมารนั้น เขาใช้วิชาบังคับ เขาบังคับอะไร ? ตอบว่าเขาบังคับใจ เมื่อเขาบังคับใจได้แล้ว แปลว่าเขาชนะอย่างสะดวกโยธิน แล้วดวงบารมีและดวงบุญของเรามารเขาก็ระเบิดเอาไปทั้งหมด เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ? ไม่มีใครเห็น ? มนุษย์ทั้งโลกไม่มีใครรู้เห็นเลย คิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ การที่มนุษย์แก่ชรา เป็นโรคภัย และตาย เราคิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติเสียแล้ว วิชาธรรม-กายชั้นสูงพารู้พาญาณของเราไปให้เราได้รู้เห็นว่า การที่มนุษย์ แก่-เจ็บ-ตาย เป็นเพราะการกระทำของมารทั้งสิ้น เขาบังคับธรรมชาติได้ ให้เกิดภัยในรูปแบบต่างๆ ได้ทั้งนั้น การเกิดกลียุค เกิดสงคราม ข้าวยากหมากแพง และความวุ่นวายทั้งปวงที่โลกประสบพบอยู่ในทุกวันนี้ มารเขาบังคับให้เป็นไป วิธีบังคับเขาใช้วิชาบังคับ เวลาเขาบังคับเขาจะยิงวิชาเข้ามา เหมือนกับเราเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ ประสงค์จะดูช่องใด ? เราก็กด " รีโมท " แล้วรีโมทก็บังคับโทรทัศน์ได้ทุกช่อง

สถานที่ส่งวิชาของเขาอยู่ที่ใด ? ผู้ส่งวิชาอยู่ที่ไหน ? เรายังไม่แจ้ง ยังติดตามกันอยู่ ภาษาวิชาธรรมกายท่านใช้ว่า ผู้ปกครองใหญ่-หัวใจเครื่องรวมใหญ่-ผู้ปกครองย่อย-หัวใจเครื่องรวมย่อย-ผู้ส่ง-ผู้สั่ง-ผู้บังคับ-ผู้ปกครอง ว่าอยู่ในเหตุลับหรืออยู่ในเหตุหาย ? เพราะภพมันซ้อนภพและเหตุมันซ้อนเหตุ เราค้นวิชากันมากี่ชาติกี่ภพแล้ว ? ยังไม่มีใครพบ ? ยังไม่มีใครเห็น ? แต่หลักวิชามีอยู่ พูดให้เข้าใจง่ายก็คือเรายังมีลายแทงอยู่ เป็นเบาะแสที่นักโบราณคดีจะได้ใช้เป็นร่องรอยขุดค้นหาโบราณวัตถุต่อไป ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ก็คือ ข้าพเจ้าเปรียบเทียบให้ดู นั่นเอง

ผู้ส่งวิชาปกครอง เขาใช้วิธียิงเครื่องเข้ามาที่ใจของสัตว์โลก เครื่องนั้นก็เข้าบังคับใจของเราให้หันเหไปตามอำนาจบังคับของเครื่อง เขาทำได้เด็ดขาดปัจจุบันทันที เหมือนเรากด " รีโมท " เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ เขาทำได้ถึงปานนั้น แล้วสัตว์คือพวกเรานี้ ก็เกิดสภาพใจไปตามการบังคับวิชาของมาร จะเห็นว่า มารเขามีวิชาบังคับมนุษย์และบังคับพระพุทธองค์ในนิพพาน เขาบังคับได้หมด เขาเข้าปกครองได้หมด ไม่ว่าใคร ? เขาบังคับได้ทั้งนั้น เขาเป็นเจ้าธาตุเจ้าธรรม เขาเป็นผู้ปกครองใหญ่ในที่ทั้งปวง การที่เราทำวิชาปราบมารก็เพื่อให้มารดับไปให้หมด จะได้ไม่มีใครมาบังคับเรา เพื่อให้เราได้เป็นอิสระเสรี เพื่อให้เราเป็นเอกราช

การแก้ไขเพื่อให้ธรรมภาคขาวพ้นจากการปกครองของมารนั้น ธาตุธรรมผู้ใหญ่ของภาคขาวในนิพพาน ท่านใช้วิธีส่งคนของท่านให้ลงมาเกิด แล้วท่านผู้นั้น จะต้องมาค้นพบวิชาธรรมกาย และในที่สุดก็พบวิชาปราบมาร จากนั้นจึงรวมพลรบที่เป็นวิชาธรรมกายชั้นสูงมาทำวิชาปราบมาร ดังเช่นเรื่องราวของหลวงพ่อ เป็นต้น

แต่ว่างานปราบมารไม่ใช่ทำได้ง่ายอย่างที่ธาตุธรรมท่านคาดหวัง ตามเรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้นำมากล่าวนั้น ธาตุธรรมผู้ใหญ่ในฝ่ายของนิพพานเป็น ทรงบอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า งานปราบมารในอดีตที่ผ่านมานั้น ไม่ได้ผล ! เพิ่งจะเป็นที่พอพระทัยก็คืองานปราบมารยุคที่ข้าพเจ้าทำอยู่นี้ มีเรื่องราวอย่างไร ? ข้าพเจ้าก็กล่าวมาแล้ว

การปราบมารก็เหมือนการทำสงครามในโลก

การทำสงครามในโลกนั้น ต้องลงทุนใช้งบประมาณของรัฐมากมาย ต้องมีกองทัพ มีอาวุธทันสมัย ใช้ผู้คนมากมาย ใช้ความรู้มาก ดังที่เราท่านเข้าใจแล้ว แต่การรบในธาตุในธรรมก็ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ต้องใช้พลรบ (พลรบคือกองทัพ ได้แก่ ผู้ที่เป็นวิชาธรรมกายชั้นสูงเท่านั้น) ต้องมีที่อยู่ที่อาศัยให้แก่เขา มีเงินทองเลี้ยงเขา มีผู้อำนวยการวิชา ผู้อำนวยการจะต้องควบคุมพลรบได้ ดังเช่นที่หลวงพ่อของเราทำอยู่นั้น แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าบรรยายว่า งานปราบมารของข้าพเจ้านั้นคือ " ละครเรื่องข้ามาคนเดียว " ดังที่ท่านได้อ่านพบแล้วในตำราของข้าพเจ้าทุกเล่ม

งานปราบมารของข้าพเจ้าดำ เนินไปได้อย่างไร ? ข้าพเจ้าตอบไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่มีอะไรเลย ? ข้าพเจ้ามีแต่นายการุณย์ บุญมานุช เพียงคนเดียวเท่านั้น พลรบของข้าพเจ้ามีข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น ต้นนิพพานเป็นคงจะทอดพระเนตรดูข้าพเจ้ามานานแล้ว จึงทรงรับสั่งบอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า " งานปราบมารของศึกษาฯ ธาตุธรรมไม่ได้ลงทุนอะไรให้เลย " ข้าพเจ้ารับทราบแล้ว ข้าพเจ้าก็ เสียใจ ! แต่ไม่รู้จะเสียใจไปทำไม ? เพราะถึงเราจะเสียใจไปเท่าไร ? ก็ไม่มีใครมาช่วยเราได้ เพราะเราลงมือรบกับมารลงไปแล้ว เดินวิชาลงไปแล้ว ถอยหลังไม่ได้แล้ว หากเราจะหยุดรบ มันไม่เกิดผลดีอะไรเลย มีแต่ผลร้ายอย่างเดียว คือมารมันจะตามล้างตามล่าเราตลอดไป ดังนั้นเราต้องทำใจ ต้องอบรมใจตัวเอง อย่าเสียใจ ! อย่าน้อยใจ ! เราคนเดียวนี้ ต้องสู้มารให้ได้ ! ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ข้าพเจ้าไม่เสียใจอีกเลย ข้าพเจ้าเดินหน้ากล้าตาย เราคนเดียวนี้จะสู้ให้ได้ทุกอย่าง เราจะไปแสดงความเสียใจให้มารมันได้ช่องทำไม ? เมื่อรู้ว่าธาตุธรรมท่านไม่ได้ช่วยอะไร ? เราก็ช่วยตัวเราเอง เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ เรื่องก็จบลงแค่นี้

เอาเข้าจริง วันเวลาผ่านมา เราแต่เพียงผู้เดียวนี้ สามารถทำงานได้มาก ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันจนถึงเรือรบทีเดียว น่าปลื้มใจคนมีกิเลสอย่างเรา

๑. ออกตำราปราบมารได้ ๕ ภาค อย่างนี้ต้องไชโยกันแล้ว เพราะเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของโลกทีเดียว มารมันไม่ยอมให้เปิดเผย แต่ข้าพเจ้าจะเปิดเผย เป็นอะไรเป็นกัน เรื่องความตายหรือ ? เราไม่กลัวอยู่แล้ว แต่กว่าตำราปราบมารจะพิมพ์ออกมาได้ เราก็คิดมากทีเดียว เราตัดสินใจแล้วจะต้องนำเรื่องราวของมารให้ชาวโลกได้รู้ เราไม่ฟังการบัญชาของมาร ก็บอกแล้วว่าเป็นอะไรเป็นกัน

๒. ออกตำราขยายความวิชาธรรมกายได้ทุกหลักสูตร ถ้าเราทำไม่ได้ ส่งผลให้วิชาธรรมกายสูญในเร็ววัน เพราะวิชาธรรมกายยากเหลือเกิน ยากที่ใครจะเรียนได้ ข้าพเจ้านำความรู้แต่ละบทมาเขียนขยายความให้เกิดความเข้าใจ แล้วเสนอแนะวิธีปฏิบัติทางใจ ก็คือบอกแนวการเดินวิชา ให้ทำได้ทุกหลักสูตร และต้องทำได้ทุกบทด้วย เพราะมารเขาจ้องจะดับวิชาอยู่ทุกลมหายใจอยู่แล้ว หากวิชาธรรมกายดับ ก็คือไม่มีใครสามารถเรียนรู้ได้ มารเขาจะโห่ร้องก้องเอาชัย ว่าเขาชนะแล้ว เขาดับวิชาธรรมกายได้แล้ว นี่คือหลักชัยของเขา ผลงานการขยายความรู้วิชาธรรมกายนี้ ข้าพเจ้าปลื้มมาก ! เพราะทุกวันนี้ เราหาคนมีความรู้ที่จะอธิบายได้นั้น หายากแล้ว ! ที่เรียนมาเก่ารุ่นลายคราม ไม่ทวนความรู้กับตำรา ความรู้ก็เพี้ยนไปหมดแล้ว

๓. ฝึกวิทยากรให้สอนวิชาธรรมกายหลักสูตรเบื้องต้นให้จงได้ ขณะนี้ข้าพเจ้าฝึกวิทยากรได้มากแล้ว ส่งไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ ได้รับคำนิยมมาก ใครๆ ก็ยกย่องในวิธีการที่ข้าพเจ้านำเสนอต่อสังคมการศึกษา เพราะได้ผลเป็นอัศจรรย์ คณะของข้าพเจ้าสอนให้เป็นวิทยาทาน ไม่เกี่ยวด้วยการเงินเลย สอนเสร็จแล้ว คณะของเราก็จากไป คณะครูอาจารย์ในสถานศึกษาตั้งข้อสังเกตดูงานที่พวกเราทำ ดูผลงานที่ปรากฏแก่สายตา ท่านก็ให้คำนิยมแก่คณะวิทยากรของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะไปสอนที่ใด ? ได้รับคำนิยมทั้งนั้น เหตุใดนักเรียนฝึกได้ผลเต็มร้อย ? เรื่องนี้ต้องเรียนกับข้าพเจ้าเอง หากข้าพเจ้าบรรยายก็จะยาวความ

งานปราบมารเป็นเรื่องใหญ่ ในสากลโลก

ในสากลธรรมนี้ มีสำคัญเรื่องเดียวคือปราบมาร

หากเราดูความเป็นไปในโลก เราก็ทราบว่า ประเทศชาติอยู่ได้ เพราะเราบังคับเอาเงินมาจากประชาชน เอาเงินจากประชาชนไปพัฒนาประเทศ เงินที่ได้จากประชาชนก็คือภาษีอากร ออกกฎหมาย ให้ประชาชนมาเสียภาษี ดังที่เราทราบกันนั้น หากจะทำสงคราม ก็ต้องบังคับเอาเงินมาอีก หากไม่มีเงินแล้ว เราก็ทำสงครามกับใครไม่ได้ แต่งานปราบมารของข้าพเจ้า ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งนั้น นี่คือดวงชะตาของลุงการุณย์ บุญมานุช ทำไมจะต้องเป็นเรา ? คนอื่นเขาไม่เป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นเราๆๆ ?

ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังแล้ว ต้นนิพพานเป็นทรงบอกให้ทราบข้าพเจ้าก็ฟังไว้ เหตุการณ์ต่อมา ไม่ทราบว่าต้นธาตุนิพพานกายธรรมทรงคิดอย่างไร ? พระองค์ก็ทรงบอกความจริงแก่ข้าพเจ้า " ที่ต้นนิพพานเป็นทรงรับสั่งแก่ศึกษา ฯ นั้น ความเป็นจริงก็คือเช่นนั้น งานปราบมารของศึกษาฯ ธาตุธรรมไม่ได้ช่วยอะไรแก่ศึกษาฯ เลย เป็นการใช้ศึกษาฯ ฟรีๆ ไม่ได้ลงทุนลงรอนอะไรให้เลย " การที่ทรงกล่าวความจริงเช่นนั้นให้ข้าพเจ้าทราบ เป็นการเปิดใจกันแล้วธาตุธรรมคงเดาใจเราออกว่า หากพูดความจริงกันแล้ว ข้าพเจ้าคงไม่ถือโกรธอะไร ? ข้าพเจ้าเดาเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็คิดว่า การที่ธาตุธรรมทำเช่นนั้น คงมีเหตุผลอะไร ? แต่เราไม่ทราบ การที่ผู้ใหญ่คิดอะไรนั้น เราไม่ทราบ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก เราก็อยู่ในฐานะรับใช้ ถึงอย่างไรพระองค์ก็ต้องมีเหตุผลของพระองค์ ซึ่งเราไม่ทราบ และการที่ต้นนิพพานเป็นทรงบอกความจริงให้ข้าพเจ้าได้รู้นั้น ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ทรงเมตตาสงสารข้าพเจ้า ที่ทรงเห็นว่าข้าพเจ้าต้องยากลำบาก เพราะถูกมารบดขยี้ทุกรูปแบบ จนเกิดอาการจวนอยู่จวนไป ซึ่งพระองค์ทรงรู้เห็นมาตลอด เหตุการณ์นี้ประเสริฐมาก ที่ว่าประเสริฐคืออะไร ?

นั่นคือ เราได้ทราบสัมพันธภาพระหว่างนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรมว่า มีความเป็นมาอย่างไร ?

การที่มีเหตุการณ์ของข้าพเจ้าเกิดขึ้นคราวนี้ ส่งผลให้ดีไปหมด สัมพันธภาพเป็นอันเดียวกันหมด หากจะพูดอะไร ? ก็เป็นถ้อยคำเดียวกันหมด นี่คือข้อสังเกตของข้าพเจ้า คิดอีกมุมหนึ่ง เป็นเพราะข้าพเจ้าคนเดียว เลยทำให้อะไรต่อมิอะไรดีไปหมด

เรื่องลึกๆ เช่นนี้ ท่านจะให้ใครในโลกมาบอกแก่ท่านได้ ถึงจะเรียนมาแสนชาติ ก็ยังไม่มีใครจะนำเรื่องเช่นนี้มากล่าวได้ ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะไปรู้เรื่องลึกตื้นในนิพพานได้ ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น แต่ข้าพเจ้าก็รู้เห็นมาหมด จึงนำมาบอกแก่พวกเรา

บัดนี้ งานปราบมารมาถึงขั้นตอนที่เกิด " วันวิสาขบูชาของนิพพาน " ข้าพเจ้าดีใจมาก ! ทำให้พระพุทธองค์ทั้งหมดพ้นจากปกครองของมาร นี่คือบารมีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายได้บ้าง ก็น่าส่งเงินไปสมทบกับข้าพเจ้าบ้าง

กล่าวถึงความรู้สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่ " ต้นนิพพานเป็น " ทรงรับสั่งให้ข้าพเจ้าทราบ เรื่องนั้นคือ งานปราบมารที่มีมาแล้วในอดีต ไม่ประสบความสำเร็จเลย งานปราบมารในอดีต มีมาแล้วกี่ยุคกี่สมัย ? เราไม่ทราบเลย เราทราบแต่ยุคของหลวงพ่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เรามาพูดกันว่า ถ้าธาตุธรรมทุ่มเทก้อนบารมีให้แก่ข้าพเจ้าในงานปราบมารคราวนี้ ใครเล่าจะกล้าเสี่ยง ? เพราะตั้งแต่อดีตมา งานปราบมารไม่ได้ผลเลย ธาตุธรรมท่านเคยเสียก้อนบารมีลงทุนให้แล้ว เมื่องานไม่ได้ผล ก็แปลว่าทุนที่นำมาให้นั้น ไม่เกิดกำไร แต่กลับเป็นการขาดทุน นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ข้าพเจ้าเดาใจของธาตุธรรม อีกประการหนึ่งคือ ความรู้ของข้าพเจ้าด้อยเกินไป ไม่น่าลงทุนให้ ข้าพเจ้าเป็นมวยอยู่นอกสายตา นั่นเอง

แต่การที่จะกำหนดตัวว่าเอาใครปราบมารนั้น ? มารเขารู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น เขาบดขยี้เราทันที ก่อนที่เราจะเห็นวิชา พอเราเข้าสู่ครรภ์มารดา มารเขาก็ลุยเราแล้ว ครั้นเรารอดมา และมาสู่ระยะทารกน้อย อย่างข้าพเจ้านี้ก็มีประวัติว่า " จะตายรายวัน " อยู่ร่ำไป โตขึ้นหน่อยก็มีแต่เจ็บไข้เป็นอาจิณ แม่ชีถนอม อาสไวย์ ก็ถูกยาเสน่ห์ มีอาการคุ้มดีคุ้มร้าย เพราะความสวยของท่านเป็นเหตุ

ที่ว่าร้ายที่สุด ก็คือการเข้าถึงวิชา มารเขาจะไม่ยอมให้เราเข้าถึงวิชาตัวจริง เราจะเรียนเพี้ยนมาร้อยเรื่อง เพราะมารเขาชักจูงไป กว่าจะมาพบวิชาตัวจริง ก็เกือบสาย กรณีประวัติของข้าพเจ้าตามที่ข้าพเจ้าเล่ามานั้น ชี้ให้เห็นว่าวิชาที่เราเรียนมานั้นไม่ถูกเต็มร้อย ถ้าข้าพเจ้าไม่พบแม่ชีถนอม อาสไวย์เป็นอันว่าไม่ต้องปราบมาร เพราะความรู้เพี้ยนๆ นั้นนำไปใช้อะไรไม่ได้ และการจะขัดเกลาความรู้ให้ถูกต้องได้นั้นไม่ใช่ทำได้ง่ายเลย จึงขอให้ท่านเรียนประวัติของข้าพเจ้าให้ชัดเจน ว่าการที่ชีวิตของข้าพเจ้าโคจรมาพบแม่ชีถนอม อาสไวย์ นั้น จะต้องมีอะไรเป็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง เหตุใดข้าพเจ้าต้องย้ายตำแหน่งราชการมาพบกับแม่ชีถนอม ? เรื่องนี้สะดุดใจข้าพเจ้ามาก เพราะข้าพเจ้าไม่คาดคิดมาก่อน ข้าพเจ้าวิ่งเต้นย้ายไปจังหวัดสุพรรณบุรี อันเป็นจังหวัดบ้านเกิด มีเจตนาจะเอาลูกน้อยไปฝากให้คุณพ่อของข้าพเจ้าช่วยเลี้ยงให้ ซึ่งเจ้านายก็รับคำว่า จะย้ายให้ไปลงที่จังหวัดสุพรรณบุรี ครั้นคำสั่งกระทรวงออกมา ปรากฏว่าข้าพเจ้าไม่ได้ลงที่จังหวัดสุพรรณบุรีตามที่วิ่งเต้นไว้ แต่คำสั่งให้ลงที่อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ซึ่งสำนักวิปัสสนาของแม่ชีถนอมอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ระยะทางห่างจากอำเภอป่าโมกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ประวัติของข้าพเจ้าตอนนี้เป็นประเด็นสำคัญของชีวิต

ว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงลดทิฏฐิมานะลงได้ ?

เมื่อเรามาพบบัณฑิตแล้ว หากสภาพใจของเรายังยึดมั่นความรู้เดิมที่เรียนมา ไม่เปิดใจกว้างรับฟังเหตุผลทางวิชาจากแม่ชี ถนอม การโคจรของชีวิตมาพบแม่ชีผู้คงแก่เรียน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ? การปราบมารก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ในอนาคต เพราะความรู้สำคัญอยู่ที่การวางพื้นฐานความรู้ อย่าให้ความรู้เพี้ยน อะไรเป็นเหตุจูงใจให้เราลดทิฏฐิมานะลงได้ ? นี่คือประเด็นสำคัญของการเรียนรู้ จงจับประเด็นสำคัญตรงนี้ให้ได้

ประวัติของข้าพเจ้าตามที่เล่ามานี้ เพื่อให้ท่านจับประเด็นว่า เหตุใดสภาพใจของข้าพเจ้าลดทิฏฐิมานะลงได้ ? เพราะข้าพเจ้าเรียนวิชาธรรมกายเบื้องต้นมาแล้วอย่างโชกโชน แต่ว่ายังไม่ถูกวิธี ธาตุ ก็เมื่อเด็กของบ้านเมืองมธรรมท่านส่งให้เรามาเกิด เพื่อให้มาปราบมาร ข้าพเจ้าไม่รู้ตัวว่าจะมาปราบมาร แต่ธาตุธรรมท่านรู้ ท่านกำกับอยู่หลังฉาก เพราะข้าพเจ้าเรียนมายังไม่ถูกวิธีของหลวงพ่อ ครูผู้เคยสอนเขาไม่รู้ เขาเห็นดีเห็นงามอย่างไร ? เขาก็สอนไปตามความเห็นของเขา เราอย่าไปโทษท่านเลย แต่มารเขารู้ว่าเราจะมาปราบมาร มารเขาก็จะชักจูงเราไปในที่ต่างๆ ไปเรียนมาร้อยเรื่อง กว่าที่เราจะมาพบความรู้ตัวจริง ก็จะสายเกินแก้เสียแล้ว และเมื่อเราเรียนอะไรไปแล้วก็มักจะเชื่อมั่นยึดมั่น อันเป็นธรรมชาติของการเรียน เรื่องนี้เราปฏิเสธไม่ได้ และเราจะไปโทษใครไม่ได้ทั้งนั้น ข้าพเจ้ากล่าวเสมอว่า การเรียนรู้ของใครนั้น ? ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของแต่ละบุคคล ใครโชคดี ? ก็เจออาจารย์ดี ใครโชคร้าย ? ก็เจออาจารย์เพี้ยน

มาถึงเรื่องสำคัญของข้าพเจ้า ซึ่งได้ตั้งประเด็นไว้ว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงลดทิฏฐิมานะลงได้ ? เพราะการลดทิฏฐิมานะเป็นเรื่องทำได้ยาก ! ตอบทันทีว่า เหตุการณ์สำคัญนั่นเองที่เป็นตัวบังคับ หากไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรา เราจะลดทิฏฐิมานะไม่ได้ เหตุการณ์นั้นคือเจ้าคณะจังหวัดอ่างทองเชิญเราไปสอนภาวนาถวายความรู้แก่พระสงฆ์ พระสงฆ์ท่านกำหนดดวงปฐมมรรคได้ เราต่อวิชาให้ท่านทำวิชา ๑๘ กายได้ เพราะแม่ชี ถนอมท่านให้เราลองฝึกวิธีนี้เมื่อสองสามวันนี้เอง หากไม่ทดลองฝึกมาก่อน เราจะได้ประสบการณ์อะไรไปต่อวิชาแก่พระสงฆ์ได้ ? นี่คือประเด็นสำคัญ

เมื่อเราต่อวิชา ๑๘ กายให้แก่พระสงฆ์ได้แล้ว ตรงตามหลักสูตรหนังสือ ๑๘ กายของหลวงพ่อ เราเกิดความภาคภูมิใจ ทำให้เรานึกถึงคุณของแม่ชีถนอม อาสไวย์ แล้วทิฏฐิมานะก็ลดลง ต่อจากนั้น แม่ชีถนอมก็ปูพื้นฐานความรู้ให้ใหม่ทั้งหมด สภาพใจของเราเปิดใจรับ ตรงนี้คือความรู้ที่ถูกต้อง แล้วลำดับมาถึงวิชาชั้นสูง ส่งผลให้ข้าพเจ้ามีพื้นฐานความรู้ปราบมารได้ในโอกาสต่อมา และอ่านตำราวิชาธรรมกายทุกหลักสูตรที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ได้ทั้งหมด ! รู้เรื่องได้ทั้งหมด ! เข้าใจได้ทุกบท ! ไม่มีอะไรติดขัดเลย ทุกบทนำสู่ภาคปฏิบัติได้หมด

นี่คือคุณของแม่ชีถนอม อาสไวย์ ข้าพเจ้าเคารพท่านว่า ท่านเป็นผู้รู้จริง ท่านแก้โรคได้ ยังสอนให้ข้าพเจ้าแก้โรค และข้าพเจ้าก็แก้โรคได้ ข้าพเจ้าจำได้ว่า คนที่เขาหายโรค ได้นำเงินมาขอบคุณแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็รวบรวมมาทำห้องน้ำให้แก่แม่ชีถนอมทั้งหมด เพราะในตอนนั้น มักจะมีเด็กวัยสาวมาบวชกับแม่ชีถนอมเสมอ สำนักของแม่ชีถนอมยังขาดแคลนอยู่ ข้าพเจ้าก็ไปช่วยทำให้ นี่คือประวัติของข้าพเจ้าในโอกาสที่โคจรไปพบแม่ชีถนอม อาสไวย์

จงจำไว้เป็นตำราว่า มารเขาจะไม่ยอม

ให้เราได้พบของจริง จะไม่ให้เราพบวิชาตัวจริง

เขาจะพาเราไปเรื่อยให้ไปหาวิชาเพี้ยนร้อยเอ็ดเจ็ดหัวเมืองทีเดียว ต่อเมื่อเรามีวาสนาบารมีมาแต่ปางหลัง เราจึงจะมีโอกาสได้พบวิชาตัวจริง เรื่องอะไรที่มารเขาจะยอมให้เราเรียนวิชามาสู้เขา ? ดังนั้น เราจะพบเสมอว่า พวกเรามีความรู้คลาดเคลื่อนไปจากตำรา นี่คืออันตรายใหญ่หลวงที่เรายังแก้ไม่ได้ ทุกยุคทุกสมัยก็เป็นอย่างนี้

บรรยายมาถึงเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงรับสั่งของ " ต้นนิพพานเป็น " ที่เคยบอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า งานปราบมารในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ พระองค์ไม่ยอมรับ จึงสอดคล้องกับเรื่องที่ข้าพเจ้ากล่าวอยู่เดี๋ยวนี้ ก็วิชาของเราเพี้ยน แล้วเราจะเอาอะไรไปชนะมาร ? จำไว้เถิด ขึ้นชื่อว่าความคลาดเคลื่อนทั้งปวง ความเพี้ยนทั้งหลาย มารเขาเป็นเจ้าของ มารเขาเป็นผู้กำกับแต่เราไม่รู้ พระไตรปิฎกของเราแต่เดิมนั้น จำกันมาปากต่อปาก (มุข-ปาฐะ) กว่าจะมาถึงยุคที่เราเขียนเป็นตัวหนังสือ ไม่รู้ว่าจะคลาดเคลื่อนสักแค่ไหน ? ความรู้สำคัญหดหายไปแค่ไหน ? มารเขาจะยอมให้หลงเหลืออยู่หรือ ?

อายุของพระพุทธองค์ มารเขาเป็นผู้กำหนด แม้หลักสูตรการตรัสรู้ มารเขาก็เป็นผู้กำหนดด้วย รวมความว่ามารเขาเข้าควบคุมหมด มารเขาจะไม่ยอมให้พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมตามใจชอบ การตรัสรู้ได้เพียงใดและแค่ไหนนั้น ? มารเขาขีดเส้นไว้แล้ว นี่คือความรู้เดิมของเรา

แต่งานปราบมารทำมาถึงจุดนี้ บัดนี้ เกิดวันวิสาขบูชาของนิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จะอยู่ภายใต้พิกัดของมารอีกหรือไม่ ? เรื่องอายุของพระองค์ก็ดี และการตรัสรู้ของพระองค์ก็ดี จะอยู่ในบังคับของมารอีกหรือเปล่า ? เราต้องดูกันต่อไป

ท่านถามว่า จะแก้อย่างไรเพื่อให้เราได้พบตัววิชาที่เป็นของจริง ?

เรื่องนี้ข้าพเจ้ายังตอบไม่ได้ ใครๆ ก็มีความประสงค์เช่นเดียวกับเรา ไม่อยากเป็นหุ่นให้มารเขานำมาเชิดเล่น

ข้าพเจ้าตอบชัดเจนแล้ว ว่ายังตอบคำถามนี้ไม่ได้ ไม่ว่าใครต่างก็มีความประสงค์ที่จะเรียนของจริง มีความประสงค์ที่จะเรียนวิชาตัวจริง ไม่มีใครอยากพบของหลอกของปลอมด้วยกันทั้งนั้น แต่แล้วเราก็มาพบของหลอกของปลอม

ทุกวันนี้เราพบสังคมบ้านเรา มีแต่ของหลอกของปลอม พระเครื่องก็เป็นพระที่เซียนเขาทำปลอมมาขาย การไปทำงานต่างประเทศ ก็ถูกเขาหลอกเขาต้ม แม้พระสงฆ์จริงหรือพระสงฆ์ปลอม เราก็ดูไม่ออก แม้แต่ทำสัญญาซื้อขาย ก็ยังมีการหลอกการต้มกันอีก สินค้าในตลาดเป็นสินค้าปลอม ปุ๋ยบำรุงพืชเป็นปุ๋ยปลอม สรุปแล้ว บ้านเรามีแต่การหลอกการต้มตุ๋นทั่วเมือง

ข้าพเจ้าเคยบอกแล้วว่า มารเขาเป็นเจ้าของความไม่ถูกทั้งปวง มารเขาเป็นเจ้าของความเพี้ยนทั้งปวง การคดโกง การหลอกลวง การปลิ้นปล้อน การตระบัดสัตย์ เป็นธรรมของมารเขา เหตุที่สังคมเราเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะมารเขาปกครองโดยเขาเข้าบังคับใจมนุษย์ มนุษย์เป็นฐานทัพให้แก่เขา แต่มนุษย์ไม่รู้ตัว มนุษย์ไม่ระวังใจไว้ให้ดี มารเขาก็เอาเป็นฐานทัพได้ เวลามารเขาบังคับ เขาใช้วิธียิงเครื่องปกครองเข้ามาที่ใจมนุษย์ ใจของเราก็เคลิบเคลิ้มไปตามอำนาจบังคับของเครื่อง วิธีบังคับนั้น เขาทำอย่างไร ? เปรียบเหมือนเรากด " รีโมท " เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ ดังที่ข้าพเจ้าอธิบายผ่านมาแล้ว ตัวตนของมารคือกายของเขาอยู่ในที่ลับ ยากที่ใครจะรู้เห็น ต้องเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง จึงจะรู้เห็นได้ หากเป็นวิชาธรรมกายอ่อนๆ ก็รู้เห็นไม่ได้

วิธีแก้ไขปัญหานี้ ข้าพเจ้าว่าต้องอธิษฐานกำกับดวงบารมีของเราไว้ เวลาเราทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ให้อธิษฐานใจกำกับดวงบารมีว่า " ทุกชาติทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าได้พบได้เรียนแต่วิชาตัวจริง ขอให้ข้าพเจ้าพบแต่ผู้รู้จริงแท้ เป็นวิชาที่ถูกต้องของพระศาสนาภาคขาวภาคปราบ ของหลอกของปลอมของเพี้ยนอย่าให้พบอีกเลย หากมีความจำเป็นต้องพบเห็น ก็ขอให้รู้เท่าทันวิชาทั้งปวงนั้น และให้รู้วิธีกำจัดวิชาเหล่านั้น ให้หายสูญสิ้นเชื้อเถิด "

ข้าพเจ้าบรรยายมาถึงตรงนี้ ควรที่เราทบทวนตัวเองว่าเราเรียนของหลอกเราเรียนของเพี้ยนไว้ทั้งนั้น โดยเฉพาะวิชาพัฒนาใจ จะว่าผิด ก็ไม่ผิดชัดเจน จะว่าถูก ก็ถูกไม่เต็มร้อย จงจำไว้ว่า มารเขามีหน้าที่สร้างความผิดเพี้ยนเสมอไป เพราะเขาเข้าดลใจได้ เราจะพบเสมอว่า ตำราเล่มเดียวกัน ครูสอนคนเดียวกัน แต่เราจะเข้าใจไปคนละอย่าง มีความเชื่อไปคนละอย่าง สุดท้ายเรามีความคิดต่างกัน ต้องแยกนิกายกัน ต้องแยกลัทธิกัน ทั้งที่ศาสนาเดียวกันแท้ๆ นี่คือฝีมือของมารเขา เขาทำสำเร็จมาในทุกยุคทุกสมัย เราจะเห็นว่าเรื่องการพัฒนาใจนั้น มีความเชื่อไปหลายอย่าง ส่งผลกระทบต่อมรรคผลนิพพานของเรา ข้าพเจ้าได้ทราบตอนที่ทำวิชาปราบมารนี้เอง

แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่อง บรรพบุรุษว่าไว้อย่างไร ? เราก็ทำตามสถานเดียว ครั้นเราเป็นวิชาและตรวจสอบดู ก็ทราบว่า เราเชื่อมาอย่างผิดพลาด ผลที่เราได้รับ ไม่เป็นไปตามความเชื่อนั้น น่าเสียใจจริงๆ เพราะเราเชื่อกันผิดๆ สืบต่อกันมา เช่น การเซ่นไหว้บรรพบุรุษด้วยเครื่องสังเวย ดังที่เราเห็นในทุกวันนี้ เราเชื่อกันมาจนเป็นประเพณี ข้าพเจ้าดูแล้วเป็นการเข้าใจผิดแท้ๆ ปู่ย่าตายายของเราไม่ได้มากิน แต่มารมันแปลงกายมากินแทน เราคิดว่าวิญญาณปู่ย่าตายายจะมากินของเซ่นไหว้ ความจริงเขามาไม่ได้ เขาไปมีหน้าที่การงานในโลกใหม่ของเขา หากเราประสงค์จะให้เขากินอะไร ? ก็ต้องนำสิ่งของเหล่านั้นไปถวายแก่ผู้มีศีล เช่น ภิกษุสามเณร เป็นต้น แล้วกรวดน้ำอุทิศกุศลไปให้เขา เขาจึงจะได้กินตามวิธีการของพระพุทธศาสนา

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องตายแล้วเอาศพไปเก็บไว้ในฮวงซุ้ย นี่คือความเชื่อก่อนที่เขาจะตาย แต่พอเขาตายไปจริงๆ ไม่เป็นไปตามความเชื่อนั้นเสียเลย ผู้ตายเขาเป็นห่วงร่างของเขา เพราะร่างของเขายังไม่ได้เผาตามวิธีการของพระพุทธศาสนา ผู้ตาย มีความเป็นห่วงร่างของเขา จะมาเข้าฝันบอกญาติ ก็มิอาจทำได้ แม้เขาจะมาเข้าฝัน แต่ญาติของผู้ตายก็ไม่เชื่อ เนื่องจากสิ่งที่ฝันไปนั้น ไม่สอดคล้องกับความเชื่อดั้งเดิมของเขา จึงไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ? เพราะความเชื่อผิดๆ เช่นนี้ เป็นเรื่องของมารเขา มารเขาบังคับให้เป็นเช่นนั้น หากเราเชื่ออย่างถูกต้อง ส่งผลให้มารเขาไม่ได้กินของเซ่นไหว้ เรื่องอะไรที่มารจะให้เราทำในสิ่งที่ถูก ?

เวลานี้เราก็เห็นกันแล้วว่า ความเชื่อในเรื่องการเซ่นไหว้ บรรพบุรุษ บ้านเราทำกันเป็นประเพณีไปแล้ว ใครไม่ทำไม่ได้แล้ว จะถูกพี่น้องตั้งข้อรังเกียจ การเผากระดาษเงินกระดาษทองไม่มีประโยชน์อันใดเลย เสียเงินเปล่าประโยชน์แท้ๆ ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็พูดไม่ออก เรื่องนี้เคยกล่าวไว้แล้วตั้งแต่รุ่นปราบมารภาค ๑ แล้ว

คำถามท้ายบทภาคความรู้ทั่วไป

จงตอบคำถามให้ครบทุกข้อ เพื่อแสดงว่าท่านอ่านรู้เรื่องสามารถนำเนื้อหาสาระมาตอบคำถามได้ วิธีตอบ ใ ห้ทำเหมือนเราเป็นนักเรียน คือหยิบกระดาษมาเขียนตอบไปทีละข้อ ครั้นตอบเสร็จแล้วจึงดูเฉลยคำตอบ ข้าพเจ้าทำแนวตอบไว้ให้แล้ว ถ้าตอบถูก แปลว่าเราอ่านรู้เรื่อง หากตอบไม่ถูก จงกลับไปอ่านทบทวนดูใหม่ เพื่อตรวจสอบตัวเองว่า เราอ่านรู้เรื่อง

๑. ผลงานปราบมารภาค ๕ ถามว่า ต้นธาตุนิพพานเป็นและต้นนิพพานเป็นกี่พระองค์ที่เราตามกลับมาได้ ? การพบนั้น ได้พบในเวลาใด ?

(แนวเฉลย พบต้นธาตุนิพพานเป็นและต้นนิพพานเป็นรวม ๕ พระองค์ มารเขาเอาตัวไปซุกซ่อน เอาไปทรมานในเหตุละเอียดการไปพบนั้น ไม่ใช่พบได้ในคราวเดียว เป็นการไปพบในเวลาที่ต่างกัน ต้นธาตุนิพพานเป็นและต้นนิพพานเป็นนั้น เป็นกายมนุษย์เหมือนพระสงฆ์ ไม่มีเกตุบัวตูม ไม่ใช่กายธรรม)

๒. นอกจากจะพบต้นธาตุนิพพานเป็นและต้นนิพพานเป็นแล้ว ยังพบบ่อบุญน้ำใสเหมือนตาตั๊กแตน นี่คือบ่อบุญ เป็นบารมีของใครไม่ทราบ ? และยังพบกายสิทธิ์ที่สำเร็จทั้งดวง เรื่องเป็นอย่างไร ? จงบรรยายสรุปให้ดู

(แนวเฉลย การพบบ่อบุญน้ำใสนี้ ต้องถือว่าเป็นโชค ไม่ทราบเป็นบารมีของใคร ? ตั้งแต่ครั้งใด ? มารเขาเอามาซุกซ่อนไว้ตรงนี้ เราตามกลับมาได้ การที่ไม่ทราบว่าเป็นของใครตั้งแต่ครั้งใดนั้น ? เป็นเพราะธาตุธรรมท่านไม่บอกเรา เราจึงไม่รู้ และการไปพบดวงกายสิทธิ์ดวงโต ประดุจกองภูเขานั้น นั่นคือดวงกายสิทธิ์ที่สำเร็จทั้งดวง สามารถเอาเรือนคือดวงแก้วเหาะเหินไปไหนๆ ได้ มารกวาดต้อนมารวมไว้ที่นี่ เราทำวิชาแก้ไขได้แล้วอาราธนากลับมาได้หมด น่าตกใจมาก ! ไม่ว่าอะไรแพ้มารทั้งนั้น ! มารเขาเอาไปเป็นเชลยได้หมด เขาเอาไปบังคับได้หมด มารมันเก่งจริงๆ )

๓. มารเขาปกครองกี่ระดับ ? เขาปกครองอะไรบ้าง ? จงอธิบายเพียงย่อๆ

(แนวเฉลย มารเขาปกครอง ๒ ระดับ คือปกครองใหญ่ หมายถึงเขาปกครองอายตนะนิพพาน คือเขาปกครองผู้ได้มรรคผลนิพพานทั้งหมด นั่นคือเขาปกครองพระพุทธเจ้าและผู้ได้มรรคผลนิพพานทั้งปวง นั่นเอง และปกครองอีกอย่างเรียกว่าปกครองย่อยคือปกครองภพ ๓ หมายถึง ปกครองอรูปพรหม ๔ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น และมนุษยโลกทั้งปวง สรุปแล้ว มารเขาปกครองทั้งหมด ไม่มีอะไรที่เขาจะบังคับไม่ได้ เขาบังคับได้หมด การบังคับเขาใช้วิชาบังคับ คือบังคับใจ เมื่อบังคับใจได้แล้ว กายก็ไม่เหลือมารเข้าที่ไหน ? เดือดร้อนที่นั่น ดังนั้น จึงเดือดร้อนกันหมด การที่เราปราบมารก็เพื่อให้มารถูกดับให้หมด ให้เราพ้นจากปกครองของมาร นั่นเอง)

๔. พระพุทธเจ้าทรงมีภารกิจที่จะตรัสรู้กี่ระดับ ? อะไรบ้าง ? การตรัสรู้ระดับใดมีความขัดข้อง ? การตรัสรู้ใดไม่มีอะไรขัดข้อง ? จงยกข้อมูลมาสนับสนุนคำตอบด้วย

(แนวเฉลย พระพุทธเจ้าทรงมีภารกิจตรัสรู้ ๒ ระดับ คือ (๑.) การตรัสรู้ในปกครองย่อย คือการตรัสรู้ในโลก เป็นการตรัสรู้เพื่อทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า วันตรัสรู้คือวันวิสาขบูชา ความรู้ที่ทรงตรัสรู้นั้นเรียกว่าพระไตรปิฎก หลังจากตรัสรู้แล้ว ก็สอนความรู้นั้นแก่มนุษยโลก การตรัสรู้ในโลกนั้น ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค มารเขายอมให้ตรัสรู้ได้ ส่วนการตรัสรู้อีกระดับหนึ่งคือ (๒.) การตรัสรู้ในปกครองใหญ่ การตรัสรู้ระดับนี้มีอุปสรรค มารขัดขวางไม่ให้มีการตรัสรู้ เป็นการตรัสรู้ในอายตนะนิพพาน หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธปรินิพพานแล้ว คือหลังจากที่พระพุทธองค์ทำหน้าที่พระพุทธเจ้าในโลกเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จเข้าสู่มรรคผลนิพพาน คือเสด็จเข้าสู่อายตนะนิพพาน จะต้องไปตรัสรู้ในอายตนะนิพพานอีกครั้งหนึ่ง ตามกฎเกณฑ์ของธรรมภาคขาว แต่แล้วก็ตรัสรู้ไม่ได้ เนื่องจากมารเข้ายึดอำนาจปกครองอายตนะนิพพาน แล้วมารก็กลั่นแกล้งกดขี่ข่มเหงด้วยประการต่างๆ เช่น เอาตัวไปกักกัน ทำโทษ ทรมาน ทั้งพระพุทธองค์และจักรพรรดิ ตามข้อมูลต่างๆ ที่ได้นำเสนอไปแล้วในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ นั้น ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรม (คือทั้งสอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน) เพิ่งได้ตรัสรู้เป็นครั้งแรกตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ปี ๒๕๔๓ ตรงกับวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นวัน " วิสาขบูชาของนิพพาน " ( ในปีต่อๆ ไปให้ถือวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ของทุกปีเป็นวันวิสาขบูชา) แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่เริ่มมีมรรคผลนิพพานมานั้น การตรัสรู้ในระดับปกครองใหญ่ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การที่มีการตรัสรู้ได้นั้น เกิดจากผลแห่งการปราบมารที่ข้าพเจ้าทำอยู่ในขณะนี้)

๕. การที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ในระดับปกครองใหญ่ไม่ได้นั้นเกิดการเสียหายอะไรบ้าง ? และมีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างพวกเรานี้อย่างไรบ้าง ? จงชี้ให้เห็นจริง เพราะท่านอ่านมามากแล้ว ต้องมีความรู้นำมาตอบได้บ้าง

(แนวเฉลย การที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ในโลกนั้น เราเข้าใจแล้ว เพราะทุกวันนี้ เราดำรงชีวิตอยู่ในศาสนาของพระองค์ คืออยู่ในหลักของพระพุทธศาสนา ได้เรียนความรู้ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เรียกว่าเรียนพระธรรมคำสอนของพระองค์ เรียนพระไตรปิฎก ทางฝ่ายพระสงฆ์ก็เรียนหลักสูตรนักธรรมและหลักสูตรภาษาบาลี นั่นคือเรียนคำสอนของพระพุทธองค์ นั่นเอง เรามีความเข้าใจว่า การที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในโลกนั้น เราได้รับมรดกแห่งความรู้ คือได้เรียนคำสอนของพระองค์ ตามที่กล่าวนั้น แต่ว่าการที่พระพุทธองค์ดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้เข้าสู่อายตนะนิพพานไปแล้ว เนื่องจากได้มรรคผลนิพพานแล้ว พระองค์จะต้องไปตรัสรู้อีกระดับหนึ่ง คือการได้ตรัสรู้ในระดับอายตนะนิพพาน หรือเรียกตามหลักวิชาว่า การตรัสรู้ในปกครองใหญ่ การตรัสรู้ในระดับนี้ เราเป็นมนุษย์ไม่มีส่วนได้รู้เห็นเลย ไม่มีใครบอก และไม่มีใครเห็น ไม่มีใครทราบด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

แต่การที่ข้าพเจ้าต้องรู้ ต้องเห็น ต้องทราบ เป็นเพราะข้าพเจ้าถูกบังคับให้ทำวิชาปราบมาร เป็นการบังคับให้ต้องรู้ ต้องเห็น และต้องทราบ ตามกระบวนการของวิชาธรรมกายชั้นสูง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ใครๆ จะเรียนรู้ แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็แทบจะกลืนไม่เข้า เท่าที่รู้เห็นและนำมาบอกเล่ากันนี้ เป็นส่วนน้อยเท่านั้น ที่ข้าพเจ้าได้รู้เห็นในส่วนที่ละเอียดเข้าไป จะมีเพียงไหน ? เกินความสามารถของข้าพเจ้าที่จะบอกแล้ว ข้าพเจ้าก็พูดเปิดใจแล้ว

จากผลแห่งการทำวิชาปราบมารของข้าพเจ้า ทำให้เราทราบว่า มรรคผลนิพพานในระดับอายตนะนิพพานล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การตรัสรู้ในระดับอายตนะนิพพานดำเนินไปไม่ได้ เพราะมารเขาขัดขวางในทุกรูปแบบ พระพุทธองค์และผู้ได้มรรคผลนิพพานทั้งหมด ถูกมารกดขี่ข่มเหง ถูกรังแกในทุกรูปแบบ ตามรายงานต่างๆ ที่นำมากล่าวแล้วในหนังสือปราบมารทุกภาคนั้น นั่นคือข้อมูลที่แสดงถึงการล้มเหลวแห่งการตรัสรู้ในระดับนี้

นี่คือ ความรู้ตอนหนึ่ง ที่ท่านต้องจดจำ

ลำดับต่อมา งานปราบมารทำมาตลอด ผลงานมีอย่างไร ? ท่านได้อ่านแล้ว การตรัสรู้ของพระพุทธองค์เกิดขึ้นได้เป็นครั้งแรกในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เรียกวันนี้ว่า " วันวิสาขบูชาของนิพพาน " ดังที่ข้าพเจ้าเสนอเรื่องราวให้ทราบแล้ว

คราวนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญ ที่เราเป็นมนุษยโลก เราไม่รู้เห็นความรู้ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ระดับปกครองใหญ่นี้เลย เป็นพระไตรปิฎกอะไร ? เป็นจำนวนเท่าไร ? มีรายละเอียดอย่างไร ? ไม่เหมือนพระไตรปิฎกที่เราเรียนในโลก เรื่องนี้เป็นทางตันที่ข้าพเจ้านำมาอธิบายไม่ได้ เป็นความอึดอัดใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้เห็นได้แค่นี้ ก็บอกได้แค่นี้ บอกได้แต่ว่า พระองค์ตรัสรู้วิชาอาสวักขย-ญาณใหญ่ เป็นความรู้พิชัยสงคราม เป็นวิชารบ วิชานี้ช่วยให้พระองค์พ้นจากปกครองของมาร ท่านก็ถามต่อไปว่า วิชาที่ตรัสรู้มีเนื้อหาสาระอย่างไร ? ข้าพเจ้าก็อธิบายว่า วิชาที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ในโลกนั้น เป็นวิชาภาคโปรด เป็นวิชาสอนศาสนา ยังไม่ได้ตรัสรู้วิชาภาคปราบ คือวิชาป้องกันมาร แล้วก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เป็นเช่นนี้ทุกพระองค์ เพราะมารเขาไม่ยอมให้ตรัสรู้วิชาภาคปราบ เขาอนุญาตให้ตรัสรู้แต่ภาคโปรดเท่านั้น ภาคปราบเขาไม่ยอมให้ตรัสรู้ ทั้งที่พระพุทธองค์ก็อยากตรัสรู้ เพราะยังตรัสรู้ไม่ครบหลักสูตร ได้ปริญญาใบเดียว อีกปริญญาหนึ่งไม่ได้ แต่ก็ตรัสรู้ไม่ได้จนแล้วจนรอด ในที่สุดก็ต้องสิ้นพระชนม์ (ดับขันธปรินิพพาน) เพราะทนวิชาทุกข์และสมุทัยของมารไม่ไหว ในที่สุดเราเป็นโรคและตายไป แปลว่าเราสู้วิชามารไม่ได้ จึงตรัสรู้ได้แต่วิชาภาคโปรดเท่านั้น ส่วนวิชาภาคปราบ เมื่อตรัสรู้ในโลกไม่ได้ ก็จะต้องไปตรัสรู้ในอายตนะนิพพาน ครั้นไปอยู่ในอายตนะนิพพานเข้าจริงปรากฏว่าผิดคาดกันหมด คือตรัสรู้วิชาภาคปราบไม่ได้ ตามที่ภาคขาวตั้งกฎเกณฑ์ไว้ และการที่เราตรัสรู้ภาคปราบไม่ได้นั้น เกิดจากมารเขาเข้ายึดอำนาจปกครองอายตนะนิพพานได้ก่อน ภาคขาวจึงพลาดท่าเสียทีเขา นี่คือสรุปย่อความรู้ เท่าที่ข้าพเจ้าเรียนรู้ได้ ก็บอกพวกเราได้แค่นี้ครับ

ท่านอยากทราบต่อไปอีกว่า ภาคโปรดกับภาคปราบต่างกันอย่างไร ? ข้าพเจ้าเคยบอกมาแล้วว่า ภาคโปรดคือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้วิชาสอนศาสนา ได้แก่ความรู้ทั้งปวงที่พระสงฆ์ไทยเล่าเรียนกันในทุกวันนี้ คือมีหลักสูตรนักธรรม ซึ่งมีนักธรรมตรี-โท-เอก และหลักสูตรภาษาบาลี ตั้งแต่เปรียญธรรม ๓ ประโยคถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค ขณะนี้การศึกษาของพระสงฆ์ไทยเกิดขึ้นหลายอย่างแล้ว สรุปแล้ว ก็เป็นวิชาสอนศาสนา วิชาเผยแพร่ศาสนา ส่วนความรู้ภาคปราบนั้น หายากมาก พระพุทธองค์ที่มาตรัสรู้ในโลก ส่วนใหญ่เป็นภาคโปรดทั้งหมด ยังไม่เคยมีภาคปราบ เป็นเพราะอะไร ? ข้าพเจ้ายังไม่ทราบเหตุผล คงเป็นเพราะมารเขาห้ามไว้ เพราะถ้ายอมให้ภาคปราบมาตรัสรู้ ก็เท่ากับมาสู้กับเขา เพราะมารเขาเป็นผู้ปกครองอยู่ก่อนแล้ว ขืนยอมให้ตรัสรู้ภาคปราบ ก็จะมารู้กำพืดของเขา ใครเล่าจะยอม ? นี่คือเหตุผลที่น่าฟัง ก็เพราะเราไม่มีความรู้ภาคปราบนี่เอง จึงเป็นเหตุให้เราแพ้มารราบคาบมาในทุกสมัยทีเดียว เราอยู่ใต้ปกครองของมารมาตลอด ถูกมารบดขยี้อย่างยับเยินที่สุด จนในที่สุด ภาคขาวไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย มารมันขนเอาไปเป็นของมันจนหมดสิ้น ดังที่ข้าพเจ้าได้เสนอผลงานไปแล้วในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ นั้น ขอให้ท่านกลับไปอ่านทบทวนดูใหม่ เริ่มตั้งแต่เล่มปราบมารภาค ๑-๒-๓-๔-๕ ทีเดียว

หลายท่านอยากให้ข้าพเจ้าอธิบายว่า ความรู้ภาคปราบคืออย่างไร ? ทำไมมารมันจึงหวงนัก ? ไม่ยอมให้ภาคขาวได้ตรัสรู้ ขอให้ยกตัวอย่างความรู้มาดู เพื่อจะได้ทราบแนวของความรู้ คำตอบก็คือหน้าตาของความรู้ของพระพุทธเจ้าภาคปราบก็คือความรู้ที่ข้าพเจ้านำมาเสนอในตำราปราบมารทุกภาค ข้าพเจ้าตอบชัดแล้ว แต่เนื้อหาของความรู้นั้น ข้าพเจ้ายังนำเสนอไม่ครบถ้วน เพราะเห็นว่ายากไป ไม่สะดวกแก่การอ่าน เพราะเป็นวิชาการไปหมด เป็นเรื่องรบทัพจับศึก เป็นเรื่องของการต่อสู้ เป็นเรื่องของการทำให้ศัตรูฝ่ายตรงข้ามล้มตายไป จึงเรียกว่าวิชาอาสวักขยญาณใหญ่ หากเปรียบเทียบกับทางโลกเรา ก็คือตำราพิชัยสงคราม นั่นเอง

ดังนั้น ความรู้วิชาธรรมกายที่หลวงพ่อวัดปากน้ำค้นคว้าได้นั้น มีคุณค่าสุดที่จะประมาณ แต่ท่านที่ไม่เรียน หรือเรียนไม่เข้าถึง ท่านก็วิจารณ์ของท่านไป ข้าพเจ้าไม่ว่าอะไร ? เพราะเป็นสิทธิ์ที่ใครจะแสดงความคิดเห็นได้ ข้าพเจ้าฟังมานานแล้ว คนที่พูดเป็นปริยัติทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็บอกแล้วว่าภาคปราบหายาก หากท่านได้อ่านทุกหลักสูตรที่ข้าพเจ้าได้นำมาเผยแพร่ พยายามอ่านให้จบ ดูเนื้อวิชาไปแต่ละหลักสูตร ท่านจะเปลี่ยนใจในความเห็นที่ท่านมีแต่เดิม เพราะเนื้อวิชามันยากอย่างนี้และละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้มันจึงยากที่ใครจะเข้าถึง อ่านให้ครบทุกหลักสูตร และอ่านให้ครบทุกบท อ่านแล้วตีความ มันจึงจะสมกับที่เราเป็นเปรียญธรรมเอก เนื้อวิชาของความรู้เป็นไปอย่างนี้หรือ ? เราเรียนมาแต่ความรู้ปริยัติ คือความรู้ทางภาษาหนังสือ แต่ความรู้ทางวิชายังไม่ได้ปฏิบัติทางใจเลย ว่าอะไรคืออะไร ? สรุปแล้วเรายังไม่เข้าถึงวิชาอะไรเลย การไปวิจารณ์ความรู้ที่เรายังไม่เคยสัมผัส เป็นการรอบคอบของผู้คงแก่เรียนหรือ ?

คราวนี้มาตอบคำถามที่ว่า กรณีที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในระดับอายตนะนิพพานไม่ได้ คือการที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วเข้าสู่อายตนะนิพพาน ไม่สามารถตรัสรู้อะไรได้อีก หลังจากที่เข้านิพพานมาแล้วนั้น ถามว่าเกิดความเสียหายต่อมนุษย์พวกเรานี้อย่างไรบ้าง ? คำตอบก็คือ พระองค์ทรงมีภัยเสียแล้ว พระองค์อยู่ในระหว่างอันตราย เนื่องจากมารเขาเข้ามากดขี่ข่มเหงพระองค์ด้วยประการต่าง ๆ ดังข้อมูลทั้งปวงที่ข้าพเจ้าเสนอไปแล้วในหนังสือปราบมารภาคต่าง ๆ นั้น ทำให้พระองค์มาช่วยมนุษย์ได้ยาก ทั้งที่พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก นี่คือความเสียหายที่เราได้รับ การที่โลกเดือดร้อนด้วยประการต่าง ๆ เป็นการกระทำของมารทั้งนั้น แต่พระพุทธองค์มาช่วยเราลำบาก เพราะมารเขาขัดขวาง)

๖. จงกล่าวถึงการเรียนวิชาอาสวักขยญาณ ให้ยาวกว่านี้จะได้ไหม ?

(แนวตอบ การเรียนวิชาอาสวักขยญาณเริ่มจากคำสอนของพระพุทธเจ้าภาคโปรดเสมอไป คือคำสอนข้อ ๓ ที่ว่า สจิตฺตปริ-โยทปนํ แปลว่า การทำใจให้ใส ถ้าทำใจให้ใสได้ แปลว่าเข้าถึง ถ้าทำไม่ได้ก็แปลว่าเข้าถึงไม่ได้ ทำใจให้ใสที่ตรงไหน ? ต้องทำที่ศูนย์กลางกายของกายมนุษย์ตัวเรานี้เท่านั้น หากทำที่อื่น ก็แปลว่าผิดทาง เมื่อผิดทาง ก็ไม่เห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายของตัวเอง เมื่อไม่เห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายแล้ว เราก็ไม่เห็นกายละเอียดของตัวเอง ไม่เห็นกายธรรมของตัวเอง คราวนี้ยุ่งใหญ่แล้ว ไม่เห็นวิชาอะไรทั้งนั้น ได้แต่เกิดอารมณ์ทางใจอย่างเดียว เข้าหาวิชาอะไรไม่ได้เลย ? นี่คือความเสียหายของการเรียน เสียหายไปตลอดชีวิต เพราะเราตั้งใจไม่ถูกที่นั่นเอง จึงไม่เข้าถึงวิชา เมื่อไม่เข้าถึงวิชา ก็ไปโทษวิชาธรรมกาย นี่คือการเข้าใจผิดกันทั้งนั้น หากท่านตั้งใจถูกที่แล้ว ต้องได้เห็นกายธรรมทั้งนั้น การที่เราฝึกใจผิดที่ตั้ง ก็เกิดการเสียหายจนทุกวันนี้ เพราะเราตั้งใจผิดที่ แล้วก็วิจารณ์กันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ? จงอย่าตั้งใจที่จมูก อย่าตั้งใจที่กระหม่อม อย่าตั้งใจที่ปลายเท้า เพราะไม่ได้อะไร ? ได้แต่อารมณ์โปร่งใจเท่านั้น นี่คือการเรียนเบื้องต้น หากเรียนเบื้องต้นถูกทางแล้ว ต่อไปจะเข้าถึงวิชาไปเอง ดังที่แจ้งอยู่ในตำราปราบมารของข้าพเจ้าแล้ว โปรดศึกษาเล่าเรียนตามนั้นต่อไป เพราะวิชาที่นำมาเสนอในตำราปราบมารนั้น เป็นวิชาอาสวักขยญาณ เป็นวิชาปราบมาร เป็นตำราพิชัยสงครามของภาคขาว)

๗. จงอธิบายคำกล่าวที่ว่า " ทำบุญให้มารกิน ทำเงินเดือนให้โจรใช้ " มีความหมายอย่างไร ? และเหตุใดข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า " ในโลกของเรามีประชากรหกพันล้านคน หากมีคนเดียวที่ปราบมารได้ โลกนี้ก็น่าอยู่น่าอาศัย " ?

( แนวตอบ คำกล่าวที่ว่า " ทำบุญให้มารกิน ทำเงินเดือนให้โจรใช้ " มีความหมายว่า เราสร้างบุญมาแล้ว แต่เรารักษาไว้ไม่ได้มารเขามาระเบิดเอาไปจากเราได้ โดยเราไม่รู้ นี่คือทำบุญให้มารกิน เปรียบอีกอย่างก็เหมือนเราทำงานได้เงินเดือน แต่เราไม่ได้ใช้เงิน เพราะโจรมาจี้ปล้นเอาไป เพราะเราไม่เก็บรักษาเงินไว้ให้ดี ได้เงินมาแล้วไม่ซุกซ่อน ไม่นำฝากธนาคาร มารมันก็มาจี้เอาไปในการทำวิชาปราบมารนั้น ข้าพเจ้าได้รู้เห็นถึงบารมีสำคัญมากมาย ที่มารเขาเอาไปซุกซ่อนในเหตุละเอียดเลยอายตนะนิพพานไปอีกมากมาย ดังที่นำมารายงานในรูปแบบต่างๆ นั้น นี่คือข้อมูลที่เราได้พบ แล้วท่านก็ถามต่อไปว่า เราจะรักษาบารมีของเราไว้ได้อย่างไร ? ข้าพเจ้ายังตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นบุญของใคร ? หรือดวงบารมีของใคร ? มารเขามาระเบิดไปจากเราได้ทั้งนั้น ใครจะสามารถรักษาดวงบารมีให้เราได้ ? นี่คือคำถามสำคัญ หากเราดูในทางโลกเรา การรักษาเงินก็คือการนำฝากธนาคาร หากเราเก็บไว้กับตัว หรือเก็บไว้ในตู้เซฟที่บ้านเรา หรือใส่ไหฝังดินแบบคนโบราณ ก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี คราวนี้มาดูการเก็บรักษาดวงบารมีบ้าง ดวงบารมีปกติแล้ว ก็อยู่ที่ศูนย์กลางกายของเรา คืออยู่ที่ดวงธรรมของเรา นั่นเอง เวลามารมันจะมาระเบิด มันก็มาที่ศูนย์กลางกายของเรา แล้วมันก็เอาไปได้ตามใจชอบ นี่คือความรู้ที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น คำตอบที่แท้ก็คือต้องดับมารให้หมด เมื่อหมดมารแล้ว ก็ไม่มีใครมาระเบิดดวงบารมีของเราได้ นี่คือคำตอบที่ถูกต้อง ใครตอบอย่างนี้ ข้าพเจ้าให้คะแนนเต็มทันที แต่ความเป็นไปได้จะมีหรือ ? การที่มารจะดับหมดไปนั้น ความเป็นไปได้ไม่มี คำตอบที่ถูกอีกประเด็นหนึ่ง คือทำใจหยุด นิ่ง แน่น ไว้กับดวงบารมีเป็นนิจสินและตลอดไป ทุกลมหายใจเข้าออก ให้นิ่งไว้ ให้แน่นไว้ ให้ใสไว้ ให้ขาวไว้ อย่าให้ใจส่าย ริบ ไหว รัว ใครตอบได้อย่างนี้ ข้าพเจ้าให้คะแนนทันที แต่ความเป็นไปได้มีหรือ ? ที่เราจะทำใจเช่นนั้นตลอดไป ย่อมเป็นไปไม่ได้ มารก็เหมือนโจร เขารู้ว่าใครรวย ? รวยขนาดไหน ? ไม่เคยเห็นโจรปล้นคนขอทาน เห็นมีแต่ปล้นร้านทอง แต่มารเขารู้ว่าใครรวยบารมี ? มันก็จ้องจะระเบิดจากเขาผู้นั้น คราวนี้เรากลับมาดูธนาคารบารมีกันบ้าง เปรียบเทียบกับธนาคารในโลกเรานั่นเอง หากเราฝากบารมีไว้กับ " ต้นธาตุ " ท่านก็จะเก็บบารมีไว้ให้เรา แต่ว่าเราพบมาแล้วว่า มารมันเอาต้นธาตุและผู้ปกครองใหญ่ของนิพพานเป็นไปได้ถึง ๕ พระองค์ แล้วอย่างนี้จะมีอะไรเหลือ ? มารเขาเอาตัวเราไปได้ แล้วจะมีอะไรเหลือ ? นี่แหละที่ข้าพเจ้าตอบแก่ท่านว่า ข้าพเจ้าตอบไม่ได้ แต่ว่าพอคุยกันได้ เรื่องการรักษาบารมีนี้สำคัญที่สุด ข้าพเจ้าต้องเรียนรู้ต่อไป นี่คือแนวเฉลยคำตอบ ให้ท่านเลือกตอบเอาเอง กรณีที่เรามาพบภูเขาบารมีเป็นรัตนชาติสีขาว ขนาดใหญ่โตมหาศาลนั้น ท่านถามว่าเหตุใดพระพุทธองค์ไม่ช่วย ? เหตุใดธาตุธรรมระดับผู้ใหญ่ไม่ช่วยไว้ ? ปล่อยให้มารเอาไปได้อย่างไร ? ท่านมีสิทธิ์ถามได้ แต่ใครเล่าจะตอบได้ ? เราทราบแล้วว่ามารเขาเป็นเจ้าธาตุเจ้าธรรม ใครจะกล้าไปประลองฝีมือกับเขา ? ใครจะกล้าไปแตะต้องเขา ? ใครจะกล้าไปทัดทานเขา ? เราภาคขาวทั้งหมดต่างก็รู้ปัญหา แต่แก้อะไรไม่ได้ พระองค์อยากช่วยเราใจจะขาด แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ นี่คือประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น ในประโยคที่ข้าพเจ้าเขียนว่า " ในโลกนี้มีประชากรหกพันล้านคน ตามข้อมูลที่ทางราชการกล่าว ถ้ามีเพียงคนเดียวทำวิชาปราบมารได้ โลกนี้ก็น่าอยู่น่าอาศัย " ที่ข้าพเจ้ากล้ากล่าวเช่นนั้น เพราะไม่มีใครปราบได้ทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็บอกแล้วว่า ให้ท่านเข้ากายธรรมไปถามให้ทั่วจักรวาลธาตุให้ทั่วจักรวาลธรรม ว่าใครจะรับอาสาปราบมารบ้าง ? จะเอาอะไรตอบแทน ? ขอให้บอก เรามีให้ทั้งนั้น จะเอาสาวงาม จะเอาตึกรามบ้านใหญ่ จะเอาเงินเอาสมบัตินานา จะเอาอะไร ? เรามีให้ทั้งนั้น ยังหาคนอาสาไม่ได้จนบัดนี้ แต่การที่ข้าพเจ้าทำ เป็นเพราะธาตุธรรมท่านบังคับ ซึ่งข้าพเจ้าก็พูดเปิดใจแล้ว ท่านอ่านผ่านมาแล้วว่า ไม่มีใครชนะมารได้เลย)

๘. งานปราบมารที่มีมาแล้วในอดีต ปราบได้ผลหรือไม่ ? ท่านทราบงานปราบมารที่เป็นมาแล้วในอดีตได้อย่างไร ? จงยกข้อมูลมาสนับสนุนคำตอบของท่าน

(แนวเฉลย งานปราบมารที่มีมาแล้วในอดีต มีมาแล้วมากมายหลายยุคหลายสมัย แต่ยุคที่เราทราบมียุคเดียว คือยุคของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ส่วนงานปราบมารในยุคอื่นๆ มีมาแล้วอย่างไร ? เราไม่ทราบเลย เพราะเราเกิดไม่ทันยุคนั้นๆ เราจึงอยู่ในฐานะที่ไม่รู้เห็น แต่การที่เราทราบประวัติงานปราบมารของภาคขาว เราทราบจากการบอกเล่าของ " ต้นนิพพานเป็น " ทรงบอกให้ข้าพเจ้าทราบเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๒ (สมุดบันทึกเล่มที่ ๒๔ หน้า ๒๗) ทรงบอกว่างานปราบมารในอดีตที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย พระองค์ไม่ทรงยอมรับ แต่ทรงยอมรับงานปราบมารในยุคของ " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " ก็คือยุคของข้าพเจ้า นั่นเอง ข้าพเจ้ารับฟังไว้ แล้วข้าพเจ้าก็จดบันทึกไว้ ทำให้ข้าพเจ้าคิดทันทีว่า แต่อดีตมาแล้ว ธาตุธรรมผู้ใหญ่ผู้ปกครองของภาคขาว ไม่นิ่งนอนใจเลย ส่งคนของพระองค์ลงมาเกิดแล้วให้ทำงานปราบมารตลอดมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลย สาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ? เพราะผู้มาเกิดจะต้องมีบารมีธรรมชั้นสูงระดับ " มือพระกาฬ " หากฝีมือไม่เข้าระดับนั้น จะไปปราบมารได้อย่างไร ? แล้วเหตุใดพระองค์ทรงยกย่องข้าพเจ้าว่างานปราบมารเข้าตากรรมการแล้ว ? หรือว่าพระองค์จะให้ยาหอมชะโลมใจเรา ? นี่คือ ความคิดที่เกิดแก่ใจของข้าพเจ้า เหตุการณ์ต่อมาถึงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๓ (สมุดบันทึกเล่มที่ ๒๕ หน้า ๑๓๘) ก็ได้ยินนิพพานกายธรรมเล่าถึงความเป็นมาของงานปราบมารตั้งแต่อดีตให้ทราบอีก นั่นคือ " ต้นธาตุของนิพพานกายธรรม " เล่าให้ฟัง เนื้อหาสาระตรงกับรับสั่งของ " ต้นนิพพานเป็น " ทีเดียว สรุปแล้ว ก็ว่างานปราบมารที่มีมาแล้วในอดีตไม่ประสบความสำเร็จเลย งานปราบมารที่ได้ผลมากที่สุดคือยุคของ " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " นี่เอง เป็นอันว่าผู้ใหญ่ระดับปกครองทั้งของนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรม เล่าถึงผลงานปราบมารในอดีตให้เราทราบ มีเนื้อหาสาระตรงกัน คืองานปราบมารในอดีตที่ทำมาแล้วนั้นไม่ได้ผลเลย)

๙. ผลงานปราบมารในยุคของหลวงพ่อมีอะไรบ้าง ? มีตำราอะไรจดบันทึกไว้บ้างหรือไม่ ? เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเล่าเรียนกันและจงบอกผลงานปราบมารในยุคของ " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " มาให้ทราบ

(แนวตอบ (ก.) ผลงานปราบมารในยุคของหลวงพ่อไม่มีบันทึกเป็นตำราไว้เลย น่าเสียดายจริงๆ แต่ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าเวรบอกความรู้วิชาปราบมารไว้บ้าง เท่าที่ทราบก็คือคุณฉลวย สมบัติ-สุข เป็นผู้บอกความรู้ปราบมารเบื้องต้นไว้ ท่านเจ้าคุณภาวนา-โกศลเถร (พระอาจารย์วีระ) นำมาพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กชื่อว่า " ยุทธวิธีและยุทธศาสตร์การสะสางธาตุธรรม " ข้าพเจ้าเคยอ่าน ชื่อหนังสือที่นำมากล่าวจะถูกต้องหรือเปล่า ? เพราะเคยอ่านนานมาแล้ว นี่คือเรื่องของตำราหนังสือ เห็นจะมีเท่านี้ ส่วนเรื่องราวงานปราบมาร ข้าพเจ้าได้ยินแม่ชีถนอม อาสไวย์ เล่าให้ข้าพเจ้าฟังบ้าง สรุปแล้ว ตำราว่าด้วยวิชาปราบมารในยุคของหลวงพ่อไม่ได้ทำไว้ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เหตุใดจึงไม่ทำไว้ ? นี่คือคำถามสำคัญ ที่ท่านผู้ใฝ่รู้อยากให้ข้าพเจ้าแสดงความเห็น ปกติความรู้ของหลวงพ่อ ทางวัดจะบันทึกเทปไว้หมด โดยเฉพาะเทศน์ของหลวงพ่อ มีความรู้วิชาธรรมกายแทรกอยู่ในทุกกัณฑ์เทศน์ ข้าพเจ้าเคยอ่านแล้ว มีวิชาธรรมกายเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ชั้นสูงเลย แล้วความรู้ชั้นสูงเหตุใดทางวัดไม่ทำบันทึกไว้ ? นี่คือประเด็นสำคัญ ข้าพเจ้าขอแสดงความเห็น ดังนี้

(ข.) เหตุใดหลวงพ่อไม่เขียนตำราปราบมารไว้เลย ? เป็นเพราะอะไร ? จงชี้แจง ขอชี้แจงให้ทราบเบื้องต้นก่อนว่า ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในตำราของข้าพเจ้าว่า " การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ต้องเป็นไปตามหลักสูตรที่มารเขาบัญญัติ การกำหนดอายุขัยของพระพุทธองค์จะให้มีพระชนมายุอยู่ในโลกได้เท่าไร ? ย่อมเป็นไปตามการกำหนดของมาร " แปลว่ามารเขาเป็นผู้กำกับทั้งหมดทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของเขา กรณีการทำตำราเผยแพร่ต่อประชาชนนั้น หลวงพ่อมีความปรารถนาอย่างยิ่ง เพราะหลวงพ่อเป็นนักปฏิบัติ เป็นนักเทศน์ เป็นนักค้นคว้า มีความเป็นผู้นำ มีความเป็นครู ชอบสอน ชอบอธิบาย นี่คือลักษณะของหลวงพ่อ คราวนี้เรามาดูประวัติหลวงพ่อตอนหนึ่ง หลวงปู่ชั้วเล่าว่า ธาตุธรรมเตือนให้หลวงพ่อทำวิชาปราบมาร หลวงพ่อเห็นวิชาปราบมารแล้ว อยู่แต่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น ? หลวงพ่อใช้เวลาใคร่ครวญพิจารณาถึง ๘ ปี เหตุใดใช้เวลานานปานนั้น ? จะทำดีหรือไม่ทำดี ? ทำแล้วจะได้อะไร ? ผลตอบแทนแห่งการทำจะได้แก่อะไร ? ความพร้อมในการทำวิชาของเรามีอะไรบ้าง ? หลวงพ่อคนเดียวจะทำได้อย่างไร ? เพียงแต่ปกครองพระเณรก็หมดเวลาไปวันหนึ่งๆ แล้ว แล้วจะได้เวลาที่ไหนมาทำวิชา ? พลรบของหลวงพ่อมีหรือไม่ ? มีที่อยู่ที่อาศัยให้เขาแล้วหรือยัง ? มีที่กินยารักษาโรคให้เขาแล้วหรือยัง ? จะได้มาอย่างไร ? พลรบต้องมีความรู้วิชาธรรมกายชั้นสูง เห็นวิชาอ่อนก็ทำไม่ได้ ใครจะเป็นคนทำให้คนทำวิชามีความเชี่ยวชาญถึงขนาดทำวิชารบได้ ? พุทธบริษัทมารวมอยู่กันจำนวนมากในวัดปากน้ำ พระเณร ๑ , ๐๐๐ ชีวิต อุบาสก อุบาสิกา ศิษย์วัดจำนวนเท่าไร ? อยู่ในความรับผิดชอบของหลวงพ่อแต่ผู้เดียว เพียงแต่จัดการศึกษาให้พระเณรศึกษาเล่าเรียนไปวันหนึ่งๆ ได้ก็บุญแล้ว อาหารการฉันของพระเณรรอดตัวไปได้วันหนึ่งก็บุญแล้ว แล้วหลวงพ่อจะเอาเวลาที่ไหนมาค้นคว้าวิชาธรรมกาย ? นี่คือภารกิจของหลวงพ่อในฐานะเจ้าอาวาส กลับมาพิจารณางานปราบมาร ปรากฏว่าหลวงพ่อมีพลรบตั้งเวรทำวิชาได้ ๖ เวร ๆ ละ ๔ ชั่วโมง คือทำวิชารบตลอด ๒๔ ชั่วโมง มอบภารกิจการปกครองวัดให้แก่พระสงฆ์ที่เป็นศิษย์ควบคุมกันไป หลวงพ่อมาเป็นผู้อำนวยการวิชาปราบมาร แม่ชีถนอมเล่าว่า วันหนึ่งคืนหนึ่งหลวงพ่อจำวัตร (นอน) เพียง ๒ ชั่วโมงเท่านั้น แต่พวกเรานอนกันวันละ ๘ ชั่วโมง ควบคุมวิชาปราบมารตลอดรุ่งสายเช้าค่ำ กวดขันอยู่เช่นนี้ ๓๐ ปีทีเดียว งานปราบมารก็ยังไม่ไปถึงไหนเลย ! สุดท้ายหลวงพ่อมรณภาพเมื่อปี ๒๕๐๒ งานปราบมารหยุดลงเพียงนั้น ศิษย์ผู้คงแก่เรียนก็ต่างคนต่างไปเพราะต้องไปรับผิดชอบต่อชีวิตตนเอง ศิษย์ผู้คงแก่เรียนส่วนหนึ่ง ยังบำเพ็ญตนเป็นแม่ชีอยู่วัดปากน้ำ เช่น แม่ชีญาณี ศิริโวหาร , แม่ชีสมจิต , อาจารย์ตรีธา เนียมขำ เป็นต้น ส่วนแม่ชีถนอม อาสไวย์ ท่านก็กลับไปตั้งสำนักสอนอยู่จังหวัดอ่างทอง

(ค.) ประเด็นสำคัญของการทำหนังสือตำราของหลวงพ่อ หลวงพ่ออยากทำใจจะขาด แต่ทำไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าวิชาธรรมกายแล้ว มารเขาจ้องจะดับอยู่ร่ำไป ขอให้เขาได้มีโอกาสเถิด หลวงพ่อคิดมากเพราะพระเณรอยู่กับท่าน ๑ , ๐๐๐ ชีวิต ถ้ามารเอาเรื่องขึ้นมา พระเณรเกิดความระส่ำระสาย จะเอาพระเณรไปไว้ที่ไหน ? วิชานั้นหลวงพ่อท่านค้นพบแล้ว แต่ตีพิมพ์ไม่ได้ เช่น ตำราวิชชามรรคผลพิสดาร ๑ มีทั้งหมด ๔๖ บท เป็นความรู้วิชาธรรมกาย

ชั้นสูง ซึ่งพระมหาจัน (เปรียญธรรม ๕ ประโยค) จดบันทึกไว้แต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ยังเอามาตีพิมพ์ออกเผยแพร่ไม่ได้ ทางวัดปากน้ำเพิ่งจะนำมาตีพิมพ์ในปี ๒๕๑๗ นี่เอง เป็นการพิมพ์หลังจากที่หลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ตำราสำคัญอีกเล่มหนึ่งคือ " วิชชามรรคผล พิสดาร ๒ " มีหลายบทเรียน ซึ่งท่านเจ้าคุณภาวนาโกศลเถร (อาจารย์วีระ) จดบันทึกไว้ ทางวัดปากน้ำเพิ่งพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี ๒๕๑๙ นี่เอง วิชาธรรมกายสำคัญอีกเล่มหนึ่งคือ " คู่มือสมภาร " มี ๑๕ บท มีหลายท่านถามข้าพเจ้าว่า เหตุใดหลวงพ่อจึงพิมพ์ในนามของศิษย์ ? คือพิมพ์ในนามคุณฉลวย สมบัติสุข เราต้องทราบว่า ความเป็นไปความเป็นมาของตำรา " คู่มือสมภาร " นั้น ข้าพเจ้าบรรยายไว้ในตำราเล่มอื่นแล้ว ขอให้ท่านไปค้นคว้าหาอ่านเอาเอง ข้าพเจ้าจะชี้แจงเหตุผลให้ทราบ ว่าเหตุใดจึงไม่พิมพ์ในนามของหลวงพ่อ ? ในฐานะที่หลวงพ่อเป็นผู้ค้นพบวิชา การที่พิมพ์ในนามของศิษย์นั้น ปลอดภัยแล้ว ! เพราะสมเด็จพระสังฆราชวัดบวรนิเวศทรงรับสั่งให้แม่ชีนวรัตน์ หิรัญรักษ์ (ผู้เรียนวิชาธรรมกายที่สำนักวัดปากน้ำ) เขียนวิชาที่เรียนถวาย เพื่อพระองค์จะทรงศึกษาดูบ้าง นั่นเอง ครั้นพิมพ์ตำราออกมาจริง กลับใช้นามคุณฉลวย สมบัติสุข เป็นผู้เรียบเรียง ส่วนแม่ชีนวรัตน์ หิรัญรักษ์ และแม่ชีสมทรง สุดสาคร เป็นเพื่อนร่วมคณะจัดพิมพ์ถวาย พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชวัดบวรฯ ปรากฏว่าสมเด็จฯ ไม่ได้ทอดพระเนตร เพราะทรงประชวร แพทย์ห้ามใช้ความคิดในขณะนั้น นี่คือเรื่องย่อ ประเด็นสำคัญของเรื่องอยู่ที่ว่า เหตุใดตำราเล่มนี้จึงพิมพ์ในนามของศิษย์ ? การพิมพ์ในนามของศิษย์นั้นปลอดภัยแล้ว ! ป้องกันมารสอดละเอียด หากมารสอดละเอียดกล่าวโทษหลวงพ่อว่าอวดอุตริมนุสธรรม เรื่องก็จะไปกันอีกรูปแบบหนึ่ง

บรรยายมาถึงตรงนี้ ให้ท่านสรุปเอาเองว่าตำราวิชาธรรมกายที่หลวงพ่อท่านรวมเป็นตำราไว้มีกี่หลักสูตร ? อะไรบ้าง ? แต่ละหลักสูตรพิมพ์ในวาระต่างกันอย่างไร ? จงเล่ามาให้ชัดเจน หวังว่าทุกคนต้องตอบได้

(ง.) ตำราปราบมารรุ่นของ " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " คือหนังสือปราบมารทุกภาค ขณะนี้พิมพ์ไปแล้ว ๕ ภาค เล่มที่ท่านถืออยู่ในมือคือ " ปราบมารภาค ๕ " ท่านถามต่อไปว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงกล้าออกตำราสำคัญอย่างนี้ได้ ? ข้าพเจ้าก็บอกแก่ท่านแล้วว่า " ตำราอย่างนี้ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก " กว่าจะพิมพ์ออกมาได้ ข้าพเจ้าก็แทบจะหมดความเพียร เพราะมีอุปสรรคนานาประการ ถ้าเล่าก็จะยาวความ สรุปว่า ข้าพเจ้าเอาตำราสำคัญอย่างนี้ออกสู่สายตาชาวโลกได้แล้ว แม้จะมีอุปสรรคร้อยแปด ข้าพเจ้าก็ต่อสู้มาหมดแล้ว โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ตายไป ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่ความตายลงไป ท่านทั้งหลายก็คงหมดโอกาสได้อ่านตำราลึกลับอย่างนี้ ถ้าออกตำราปราบมารไม่ได้ อะไรเล่าที่จะเป็นหลักฐานของการปราบมาร ? งานปราบมารมีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง ? เราจะได้มาตอบแก่ประชาชน ไหนคือรายงานผลการปราบมาร ? ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระสงฆ์ แต่ข้าพเจ้าเป็นฆราวาส ใครเขาจะเชื่อถือฆราวาส ? สังคมบ้านเรา เขาเชื่อพระสงฆ์กันทั้งนั้น ถ้าพระสงฆ์พูด เขาเชื่อถือ นี่คือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสังคมบ้านเรา บั ดนี้เอกสารรายงานปราบมารออกสู่สายตาชาวโลกแล้ว ขอให้บัณฑิตทั้งปวงจงพิสูจน์ของจริงได้แล้ว ข้าพเจ้ามีหลักฐานครบถ้วนให้ผู้คงแก่เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ทุกเมื่อ จะให้ชี้แจงอะไร ? จะให้อธิบายอะไร ? จงรวมตัวกันไปพิสูจน์เถิด ข้าพเจ้ามีความยินดีต้อนรับผู้เป็นบัณฑิต เพราะเป็นเรื่องที่ผู้คงแก่เรียนจะต้องเรียนรู้ การแสดงความเก่งแบบฝรั่ง เช่น ปีนภูเขาสูงชัน การแสดงการต่อสู้หวาดเสียว การไปค้นคว้าเรื่องเหลวไหล แล้วชีวิตของเราก็จบลงโดยที่เราไม่ได้อะไร ? เห็นเป็นของโก้ว่า ตัวเองมีชื่อเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ ถามว่าได้อะไรที่เป็นประโยชน์ ? ก็ตอบว่าไม่ได้อะไรเลย ชีวิตของเราจบลงแล้ว ทำไมไม่แสดงความเก่งในการปราบมารดูบ้าง ? ไปเก่งอย่างนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ตำราทั้งปวงข้าพเจ้าทำให้ครบถ้วนแล้ว เรื่องที่เราควรแสดงความเก่ง แต่เรากลับไม่แสดง แต่กลับไปใช้ชีวิตสนใจในเรื่องไร้สาระกันหมด เสียใจกับเขาที่เขาทุ่มชีวิตผิดทาง อยากมีชื่อเสียงในทางที่ไม่เข้าเรื่องเปิดดูข่าวโทรทัศน์ จะพบแต่ฝรั่งแสดงความเก่งไม่เข้าท่า น่าเสียดายชีวิตของเขาที่หมดไปกับเรื่องไร้สาระ)

๑๐. ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารมาตั้งแต่เมื่อไร ? เป็นเวลากี่ปีแล้ว ? มีผลงานปราบมารและผลงานเขียนตำราวิชาธรรมกายอะไรบ้าง ?

(แนวตอบ ปราบมารวันแรกคือ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ นับถึงปีปัจจุบันได้กี่ปี ? ก็คำนวณเอาเอง ผลงานปราบมารที่นำเสนอไปแล้ว เป็นตำราปราบมารภาค ๑-๒-๓-๔-๕ รวม ๕ เล่ม ส่วนผลงานเขียนตำราวิชาธรรมกายนั้น ได้เขียนตำราโดยนำตัวบทวิชาธรรมกายทุกหลักสูตรและทุกบท ที่หลวงพ่อรวมไว้เป็นหนังสือมาเขียนขยายความเพิ่มเติมทุกหลักสูตรแล้ว ทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อการศึกษาเล่าเรียน อธิบายทุกบทไม่เว้นเลย ส่งผลให้วิชาธรรมกายไม่ยากอีกต่อไป โปรดติดต่อสอบถามได้ที่สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ)

๑๑. การทำวิชาปราบมารของข้าพเจ้า มาถึงจุดหนึ่ง ปรากฏว่านิพพานไม่มีดวงธรรม ๖ ดวงให้เดินวิชา เมื่อแก้ไขทางวิชาจนถึงขั้นนิพพานมีดวงธรรม ๖ ดวงเกิดขึ้นแล้ว ถามว่าการปราบมารจุดนี้มีความอัศจรรย์อะไรเกิดขึ้น ?

(แนวเฉลย เกิดวันวิสาขบูชาของอายตนะนิพพานเกิดขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ (ธาตุธรรมให้ถือวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ของทุกปีเป็นวันวิสาขบูชาของนิพพาน) หมายความว่า เป็นวันที่พระพุทธองค์ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรมตรัสรู้ธรรมในระดับอายตนะนิพพานพร้อมกันเป็นครั้งแรก หลังจากที่พระองค์เข้านิพพานไปแล้ว ก็เพิ่งได้ตรัสรู้ระดับปกครองใหญ่ในวันนี้ ส่งผลให้พระองค์พ้นจากการปกครองของมารในทันใด ! ต้นนิพพานเป็นทรงเป็นผู้ประกาศ นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของงานปราบมารของข้าพเจ้า)

๑๒. พระพุทธเจ้ามีกี่ประเภท ? หลักสูตรการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีกี่หลักสูตร ? อะไรบ้าง ? จงอธิบาย

(แนวเฉลย พระพุทธเจ้ามี ๒ ประเภท คือ พระพุทธเจ้าภาคโปรดกับพระพุทธเจ้าภาคปราบ หลักสูตรการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามี ๒ หลักสูตร คือ การตรัสรู้ในโลก เรียกว่าตรัสรู้ในปกครองย่อย และตรัสรู้ในอายตนะนิพพาน เรียกว่าตรัสรู้ในปกครองใหญ่ การตรัสรู้ในโลก เป็นการตรัสรู้เพื่อสอนมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เกิดสันติสุข และได้มรรคผลนิพพาน แต่การตรัสรู้ในอายตนะนิพพาน เป็นการตรัสรู้หลังจากที่พระพุทธองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เข้าสู่โลกใหม่ โลกนั้นคือโลกของผู้ได้มรรคผลนิพพาน นั่นคือ เข้าสู่อายตนะนิพพาน เรียกย่อๆ ว่านิพพาน เมื่อเข้าสู่อายตนะนิพพานแล้ว ต้องไปตรัสรู้ในระดับอายตนะนิพพานอีกครั้งหนึ่ง ที่เรียกว่า ตรัสรู้ในปกครองใหญ่นั้น เป็นการตรัสรู้วิชาอาสวักขยญาณใหญ่ ได้แก่การตรัสรู้วิชาพิชัยสงครามหรือเรียกย่อว่าตรัสรู้วิชารบ คือวิชาปราบมาร นั่นเอง แต่การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของภาคขาวเสียแล้ว ครั้นพระพุทธองค์เข้าสู่อายตนะนิพพานจริงๆ เหตุการณ์กลับเป็นว่า พระพุทธองค์ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มมีมรรคผลนิพพานมานั้น ตรัสรู้ในระดับอายตนะนิพพานไม่ได้เลย เหตุการณ์เช่นนี้มีมาตั้งแต่แรกเริ่มมีมรรคผลนิพพานของธรรมภาคขาวทีเดียว เป็นเวลายาวนานมาแล้วแค่ไหน ? ก็ไม่อาจทราบได้ เนื่องจากมารเขาเข้ายึดอำนาจปกครองนิพพานของภาคขาวไปได้ มารเข้าปกครองอายตนะนิพพานเสียเอง เขากดขี่ข่มเหงกระทำทารุณกรรม ลงโทษพระพุทธองค์และจักรพรรดิของภาคขาวอย่างทารุณโหดร้าย ตามรายงานที่ข้าพเจ้าได้เสนอไปแล้วในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ นั้น ส่งผลให้พระพุทธองค์ตรัสรู้ไม่ได้ อายตนะนิพพานมีอายุมาแล้วเท่าไร ? เราไม่ทราบ แต่พระพุทธองค์ตรัสรู้ไม่ได้ เพิ่งจะได้ตรัสรู้พร้อมกันในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นครั้งแรก เรียกวันที่ ๗ มิถุนายน ว่า " วันวิสาขบูชาของนิพพาน " ( ปีต่อไปให้ถือวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ของปีเป็นวันวิสาขบูชาของนิพพาน) นี่คือผลงานปราบมารในยุคของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าดีใจมาก ! คราวนี้กล่าวถึงประเภทของพระพุทธเจ้าบ้าง มี ๒ ประเภท คือภาคโปรดกับภาคปราบภาคโปรดมีมาก แต่ภาคปราบมีน้อยมาก แทบจะหาไม่ได้ ภาคโปรดเป็นภาคความรู้สอนศาสนา แต่ภาคปราบเป็นความรู้สู้มาร ภาคปราบสร้างบารมีมากกว่าภาคโปรด ดังนั้น จึงว่าภาคปราบหายาก เพราะสร้างบารมียาก มารเขาไม่ยอม เขายอมแต่ภาคโปรด เพราะภาคโปรดไม่มีฤทธิ์เท่าภาคปราบ นี่คือ ความเห็นในสายตาที่เขามองดูพระพุทธเจ้าภาคขาว เขามีความเห็นอย่างนั้น มารเขามองดูพระพุทธเจ้าภาคขาว ก็เหมือนสิงโตมองดูม้าลาย เก้ง กวาง วัวป่า เขาเห็นว่ามรรคผลนิพพานของภาคขาว คืออาหารอันโอชะของเขา ดังนั้น เขาจึงเข้ามาควบคุมภาคขาวในทุกเรื่อง ข้าพเจ้าเพิ่งได้รู้เรื่องกับเขาในตอนที่ทำวิชาปราบมารนี่เอง ดังนั้น การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ มารเขาเป็นผู้กำหนดหลักสูตร อายุของพระพุทธองค์จะอยู่ในโลกได้กี่ปี่ ? มารเขาเป็นผู้กำหนด ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกไว้แล้วในตำราของข้าพเจ้า น่าเจ็บใจไหม ? มารมันมารังแกพระพุทธเจ้าของเราได้ถึงขนาดนี้ ใครไม่เจ็บใจ ? แต่ข้าพเจ้าเจ็บใจ ! ใครไม่สู้ ? แต่ข้าพเจ้าสู้ ! ที่ข้าพเจ้าพูดว่า เห็นฝรั่งเขาเก่งในรูปแบบต่างๆ ในข่าวโทรทัศน์นั้น เป็นการใช้ชีวิตที่ไม่มีประโยชน์เลย ผจญภัย โลดโผน ไม่กลัวตาย เล่นกีฬาโลดโผน ไม่กลัวคอหักตาย ลงทุนวิเคราะห์วิจัยเรื่องไม่เข้าเรื่อง เสียเงินมาก เสียกำลังคนมาก แล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ? ถ้าเขาทุ่มเทมาวิเคราะห์เจาะลึกวิชาปราบมาร น่าจะเกิดประโยชน์กว่ามาก แต่ถ้าพูดถึงเรื่องบุญทุนเก่าแต่ปางหลัง เราก็แสดงความเห็นอะไรต่อไปไม่ได้ เพราะคนที่จะมาเป็นธรรมกายชั้นสูงนั้น จะต้องมีบารมีเก่าแต่ปางหลังสนับสนุน จึงจะเรียนรู้ได้

กลับมาพิจารณาการตรัสรู้ของพระพุทธองค์กันใหม่อีกประเด็นหนึ่ง หลังจากพระพุทธองค์ (พระสมณโคดม) ทรงตรัสรู้วิชาภาคโปรดแล้ว ก็มีความประสงค์จะตรัสรู้ภาคปราบด้วย ทรงค้นพบวิชาที่ทำให้อายุยืนยาวแล้ว เรียกว่าวิชาอิทธิบาทภาวนา หากทำได้ก็ส่งผลให้อายุยืน ได้บอกสัญญาณให้พระอานนท์อาราธนาในที่ต่างๆ รวม ๑๖ ตำบล ตามกติกาของโสฬสกิจ หากพระอานนท์อาราธนาไว้ พระองค์ก็จะทรงมีพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีก เป็นจังหวะที่จะมีเวลาตรัสรู้วิชาสำคัญต่อไปอีก แต่พระอานนท์ไม่เฉลียวใจ ไม่ทูลอาราธนา ทั้งที่พระพุทธองค์บอกสัญญาณถึง ๑๖ ครั้งแล้ว เนื่องจากมารเขาดลใจไม่ให้พระอานนท์ระลึกได้ เมื่อพระอานนท์ไม่อาราธนา พระพุทธองค์ก็ทำตามที่มารเขาสั่ง คือจะต้องสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ ๘๐ สมมุติว่าพระองค์ทรงมีพระชนมายุสืบต่อไปอีก ก็จะสามารถตรัสรู้วิชาภาคปราบได้แน่นอน เพราะทรงเห็นวิชาอิทธิบาทภาวนาไว้เป็นพื้นฐานแล้ว เมื่อทำวิชาอิทธิบาทภาวนาได้ อาจไม่สิ้นพระชนม์ก็ได้ และเมื่อไม่สิ้นพระชนม์ มรรคผลนิพพานก็ต้องเข้านิพพานเป็นสถานเดียว (สอุปาทิเสสนิพพาน) หากได้ตรัสรู้หลักสูตรปราบมารได้ ถือว่าการตรัสรู้กระทำได้ครบถ้วน แต่มารเขาไม่ยอม พระองค์ก็ต้องสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ ๘๐ ตามที่มารเขากำหนดให้ สรุปแล้ว เรายังไม่ชนะมาร เพราะมารเขายังบังคับเราได้ทุกอย่าง เขาเป็นผู้ควบคุมทั้งนั้น แม้พระพุทธองค์เข้าอายตนะนิพพานไปแล้ว ยังไปถูกมารบังคับในระดับอายตนะนิพพานอีก เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ กว่าเรื่องราวของนิพพานจะแจ้งได้ทีละอย่าง ใช้เวลาปราบมารยาวนานเหลือเกิน เมื่อเป็นเช่นนี้ธาตุธรรมผู้ปกครองในระดับนิพพาน จึงแก้ไขโดยให้ผู้มีบารมีธรรมลงมาเกิด เพื่อให้มาทำวิชาปราบมาร ดังที่กล่าวแล้วนั้น

กรณีที่ผู้ปกครองใหญ่ของภาคขาว ทรงคิดแก้ไขโดยส่งผู้มีบารมีธรรมมาเกิด เพื่อให้มาทำวิชาปราบมาร เพื่อไม่ให้มารมาปกครองธรรมภาคขาว จะเป็นวิธีที่ได้ผลประการใดหรือไม่ ? ซึ่งเรื่องนี้เราท่านอ่านผ่านมาแล้ว ซึ่งต้นนิพพานเป็นก็ทรงบอกให้เราทราบแล้ว และต้นธาตุนิพพานกายธรรมก็บอกให้เราทราบแล้ว ซึ่งเราก็ทราบชัดแล้วว่าไม่ประสบความสำเร็จเลย ปัญหาจึงมีว่า เราจะทำประการใดต่อไป ? นี่คือปัญหาใหญ่ นี่คือปัญหาโลกแตก เป็นปัญหาระดับนิพพาน ส่วนข้าพเจ้านั้นเป็นเพียงผู้รับใช้ จะทำอะไรได้แค่ไหน ? และเพียงไร ? วันนี้ยังตอบให้ชัดนักยังไม่ได้ เพียงแต่นำผลงานส่วนหนึ่งมารายงานให้ทราบเท่านั้น

ท่านผู้รู้เคยปรารภว่า เหตุใดผู้ใหญ่ในธาตุธรรมไม่ให้พระพุทธองค์ปราบเสียเอง ? เพราะพระพุทธองค์ทรงมีบารมีธรรมล้ำเลิศอยู่แล้วให้คนอย่างเราไปปราบมันจะได้ความหรือ ? ท่านให้ความเห็นเช่นนี้ นับว่าถูกใจข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าก็มีความคิดอย่างท่าน ความคิดของท่านกับความคิดของข้าพเจ้าตรงกัน ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเหตุผลของธาตุธรรมจนบัดนี้ หากท่านติดตามประวัติของข้าพเจ้าตั้งแต่เล่มปราบมารภาค ๑ ท่านจะทราบชัดว่า พอข้าพเจ้าทราบว่าธาตุธรรมท่านกำกับตัวให้ปราบมาร ข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้โฮเหมือนเด็กทีเดียว มันเกิดความเสียใจจนพูดไม่ถูก กว่าจะทำใจให้กลับสภาพเดิมได้ ใช้เวลานานมาก เพราะถ้าเราทำใจให้คืนสภาพเดิมไม่ได้ เราจะนอนไม่หลับ เพราะใจมันขุ่นเนื่องจากเสียใจ เรื่องราวมีอย่างไร ? โปรดค้นดูได้จากเล่มปราบมารภาค ๑ และปราบมารภาคอื่น ข้าพเจ้าจำได้ว่าข้าพเจ้าเล่า แล้ว อยู่ในปราบมารภาคใดเท่านั้น ? นี่คือแนวตอบ ให้ท่านเลือกเอาแต่ที่เป็นคำตอบ ส่วนที่ข้าพเจ้าอธิบายประกอบความเข้าใจ นั่นเป็นส่วนเพิ่มเติม ท่านไม่ต้องนำไปตอบ)

๑๓. งานปราบมารมาถึงจุดหนึ่ง ต้นธาตุนิพพานกายธรรมประกาศว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้ได้มรรคผลนิพพานให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ท่านเข้าใจอย่างไร ? จงอธิบาย

(แนวเฉลย โปรดจำไว้ว่า ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ตรงกับวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นวัน " วิสาขบูชาของนิพพาน " ซึ่ง " ต้นนิพพานเป็น " ทรงประกาศ ต่อมาวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นวัน " เปลี่ยนระบบมรรคผลนิพพาน " จากเดิมใช้ระบบอนุปาทิเสสนิพพานตามที่มารบัญญัติ คือให้เข้านิพพานด้วยกายธรรม กลับมาใช้ระบบมรรคผลนิพพานของภาคขาวตามเดิม คือให้ใช้ระบบสอุปาทิเสสนิพพานคือให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ซึ่งเป็นระบบของภาคขาวมาแต่เดิม ผู้ประกาศคือ " ต้นธาตุนิพพานกายธรรม " อธิบายว่า ในการได้มรรคผลนิพพานต่อไปนี้ ให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ดังเดิม ไม่ให้เข้านิพพานด้วยกายธรรมอีกต่อไป เพราะว่าการเข้านิพพานด้วยกายธรรมนั้น เป็นระบบที่มารเขาบัญญัติขึ้น ภาคขาวจะไม่ใช้ระบบนั้นอีกต่อไป การที่ภาคขาวประกาศเช่นนั้น สร้างความไม่พอใจให้มารเป็นอย่างยิ่ง เพราะมารเขาไม่ยอม เนื่องจากเขาเป็นใหญ่ เขาเป็นผู้ปกครองทั้งหมด เมื่อไม่ยอมก็ต้องรบกัน ซึ่งข้าพเจ้าก็รบอยู่แล้ว ผลการรบปรากฏว่า ภาคขาวได้เปรียบ ภาคขาวจึงประกาศใช้ระบบมรรคผลนิพพานของตนเอง ซึ่งภาคขาวได้ประกาศไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ นั้น การที่ภาคขาวประกาศเช่นนั้น เป็นการลองเชิงว่าภาคมารเขาจะว่าอย่างไร ? เมื่อไม่พอใจ ก็จงมารบกับเราเถิด ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก มารบกันเลย นี่คือชั้นเชิงของภาคขาว ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนั้น ไม่ต้องให้เราทำวิชาติดตาม เราทำวิชาติดตามมานานแล้ว เอาแต่ซ่อนตัว การรบจึงไม่มีวันจบสิ้น เสียเวลาติดตาม แต่พอเราเผลอ มันก็มาลุยเรา สันดานของมารเป็นอย่างนั้น ธาตุธรรมท่านคงคิดช่วยข้าพเจ้าอย่างนั้น จึงกล้าประกาศเช่นนั้น ผิดถูกอย่างไรไม่ทราบ ? ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้น ขณะนี้มารยังไม่หมด เราไปรบในนิพพาน มันก็หนีมาอยู่ในภพ ๓ หากยกพลมาประจัญบานซึ่งๆ หน้ากันหมด อย่างนี้เราชอบ มันจะได้ยุติผลการรบในเร็ววัน การที่ยืดเยื้อเพราะมารไม่สู้ซึ่งหน้า เขาหนีอยู่เรื่อย หนีไปซ่อนตัว เราหาตัวไม่พบ แต่เขาหนีสู้ เราเผลอเมื่อไร ? เขาเข้ามาลุยทันที ข้าพเจ้าจะเปรียบเทียบให้เกิดการเข้าใจ มารเขาหนีเรา ก็เหมือนนักโทษหนีไปอยู่ในต่างประเทศ เขาไปอยู่ประเทศใด ? เขาหลบซ่อนอยู่ในส่วนใด ? ในหุบเขาใด ? เขาหนีไปอยู่ในป่าใด ? เขาไปซ่อนตัวอยู่ในทะเลใด ? เขาหนีไปอยู่ในทะเลทรายไหน ? ไม่มีใครรู้ ? เราไม่มีกฎหมายให้ส่งตัวนักโทษมาให้เรา มันยากอย่างนี้

อีกแนวคิดหนึ่ง กรณีที่ธาตุธรรมท่านประกาศใช้ระบบนิพพานใหม่นั้น เรื่องจริงอาจเป็นไปตามที่ธาตุธรรมท่านรู้เห็นก็ได้ โดยทรงเห็นว่ามารอ่อนตัวลงมากแล้ว มารงวดตัวลงมากแล้ว พระพุทธเจ้าของเรามีกำลังขึ้นมาแล้ว ได้ทรงตรัสรู้ในระดับปกครองใหญ่แล้ว ได้ปะทะกับมารมามากแล้ว ได้เห็นวิชามามากแล้ว สู้มารได้แล้ว จึงต้องประกาศเอกราชให้ชัดแจ้งลงไป เพื่อพระพุทธเจ้ารุ่นต่อไป จะได้เตรียมตัวสร้างบารมีให้เข้ากับกฎเกณฑ์ใหม่ นี่คือความเห็นของข้าพเจ้าอีกแนวหนึ่ง แต่ข้าพเจ้ายืนยันว่า มารยังดับไม่หมด การรบยังต้องดำเนินต่อไป ที่สุดแห่งการรบของข้าพเจ้าจะยุติอย่างไร ? ข้าพเจ้ายังตอบไม่ได้ นี่คือแนวตอบ ตรงไหนที่เป็นความรู้ประกอบความเข้าใจ ? ท่านไม่ต้องนำไปตอบ)

๑๔. จงบอกวันสำคัญของอายตนะนิพพานมาให้ครบว่ามีอะไรบ้าง ? วันเหล่านั้นสำคัญอย่างไร ? จงอธิบาย

(แนวเฉลย วันสำคัญของอายตนะนิพพาน มีดังนี้

(๑.) วันเอกราชของธาตุธรรม ตรงกับวันที่ ๒๗ ธันวาคม ของทุกปี ต้นธาตุของนิพพานกายธรรมประกาศ ตั้งแต่รุ่นหนังสือปราบมารภาคก่อนๆ แล้ว ให้ท่านกลับไปอ่านทบทวนดูว่า อยู่ในหนังสือปราบมารเล่มใด ? ดูประวัติของ " ต้นปราบ " ด้วย ธาตุธรรมท่านถือว่าวันนั้นที่ภาคขาวชนะมาร ข้าพเจ้าจำได้ว่า วันที่ ๒๘ ธันวาคม เป็นวันที่พระเจ้าตากสินมหาราชกอบกู้เอกราช ทางราชการมีประเพณีจัดพวงมาลาไปถวายบังคมพระบรมรูปพระเจ้าตาก ฯ วันเอกราชของธาตุธรรมจึงต้องก่อนวันเอกราชของทางโลก ๑ วัน

(๒.) วันวิสาขบูชาของอายตนะนิพพาน ตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ของทุกปี วันนี้เป็นวันสำคัญมาก ! เพราะเป็นวันที่นิพพานเป็นและนิพพานกายธรรม ได้ตรัสรู้ธรรมระดับปกครองใหญ่พร้อมกัน ทำให้มารหมดอำนาจปกครองอายตนะนิพพานอีกต่อไป

(๓.) วันประกาศใช้ระบบมรรคผลนิพพาน ตรงกับวันที่ ๒๑ มิถุนายน ของทุกปี ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้ได้มรรคผลนิพพานให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ไม่ให้เข้าด้วยกายธรรมอีกต่อไป ประกาศเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ ต้นธาตุนิพพานกายธรรมเป็นผู้ประกาศ

(๔.) วันกตัญญูกตเวทีหรือวันระลึกถึงพระเจ้า ตรงกับวันที่ ๓๑ สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันที่ธาตุธรรมทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรม ประกาศมอบอำนาจให้แก่ " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " ทำหน้าที่ปกครองอายตนะนิพพานทั้งหมด และปกครองภพ ๓ ทั้งหมด คือ ปกครองอรูปพรหม ๔ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้นและมนุษยโลก ด้วย ซึ่งผู้ปกครองใหญ่นิพพานเป็นและต้นธาตุนิพพานกายธรรมประกาศเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ ท่านทราบเรื่องราวของ " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " แล้ว ว่ามีประวัติมาอย่างไร ? ขอให้กลับไปทบทวนอ่านหนังสือปราบมารเล่มก่อนๆ ข้าพเจ้านำประวัติมากล่าวไว้แล้ว ในหนังสือปราบมารเล่มก่อนๆ นั้น ท่านคงจำได้ ธาตุธรรมท่านสถาปนา " ตรีภพและหยกชมพู " ให้มีฐานะสูงขึ้นมาเทียบเท่ากับ " องค์ต้นปราบ " ข้าพเจ้าก็นึกเฉลียวใจแล้วว่าธาตุธรรมต้องมีแผนการอะไรสักอย่างหนึ่ง ? แล้วข้าพเจ้าก็ลืมเหตุการณ์นั้นไปแล้ว เพราะเป็นเหตุการณ์นานแล้ว เราลืมไปแล้ว ครั้นมาถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ ธาตุธรรมท่านประกาศมอบอำนาจปกครองในธาตุในธรรม ข้าพเจ้าเกิดความตกใจ ! เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ระแคะระคายมาก่อนเลย ธาตุธรรมท่านไม่บอกให้ข้าพเจ้ารู้ตัวเลย ก็หมายความว่าธาตุธรรมท่านหมายตาไว้แล้ว ข้าพเจ้าจึงระลึกถึงเรื่องราวการสถาปนา " ตรีภพและหยกชมพู " อีกครั้งหนึ่ง วันนี้ทั้ง " องค์ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " มีฐานะเป็นผู้ปกครองใหญ่ทั้งหมด โดย " องค์ต้นปราบ " เป็นแม่ทัพ ส่วน " ตรีภพและหยกชมพู " เป็นกระบี่ซ้ายขวา นั่นเองหน้าที่ของเราต้องนึกถึงพระองค์ นึกถึงคุณความดีของพระองค์ ที่ต้องปราบมารให้ พระองค์ทำงานหนักแสนสาหัสสากรรจ์ ธาตุธรรมท่านมอบอำนาจให้ พระองค์ต้องรับมอบอำนาจด้วยความจำยอม เพราะทรงปราบมารมาแล้ว มีผลงานเป็นที่ประทับใจของธาตุธรรมมาตลอด เราไม่นึกถึงท่าน ก็เท่ากับเราไม่รู้คุณ ซึ่งผิดหลักของพระพุทธศาสนาในเรื่องเราไม่มีกตัญญูกตเวที พระองค์ป้องกันมารไม่ให้มารมารังควานเรา หากพระองค์ไม่ดูแลเรา มารก็รังแกเราวันยังค่ำ มนุษยโลกทุกคนต้องระลึกถึงท่าน บูชาท่าน เพราะท่านเป็นผู้ปกครองเรา ให้เราพ้นทุกข์ บางท่านส่งเงินไปให้ข้าพเจ้า แจ้งว่าบูชา " องค์ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " ข้าพเจ้าก็นำเงินนั้นไปใช้ เพราะทุกวันนี้ข้าพเจ้าทำงานในนามของ " องค์ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " ทั้งปราบมาร ทั้งเขียนตำรา ทั้งตั้งกองทัพวิทยากรเผยแพร่วิชาธรรมกาย และบูชาข้าวพระในทุกวันเสาร์ หากท่านทุกข์ร้อนอะไร ? จงตั้งใจระลึกถึง " องค์ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " บนท่านเป็นเงิน เมื่อประสบความสำเร็จแล้วให้ส่งเงินไปแก้บนที่ข้าพเจ้า มีหลายท่านส่งเงินไปให้ข้าพเจ้า แจ้งว่าเป็นเงินบน " ต้นปราบ " ไม่ทราบว่าท่านทราบเรื่องราวได้อย่างไร ? บนได้ถูกต้องและส่งเงินไปได้อย่างถูกต้อง ต่อเมื่อข้าพเจ้าอ่านจดหมายแล้วจึงได้รู้ความ)

๑๕. เมื่อวันสำคัญของนิพพานเวียนมาถึง เราควรประกอบกิจกรรมอะไร ?

(แนวเฉลย เราควรทำบุญใส่บาตร รักษาศีล เจริญภาวนา ในการเจริญภาวนานั้น ท่านเข้าใจแล้ว ก็คือการฝึกให้เป็นธรรม-กาย ข้าพเจ้าทำตำราให้ครบทุกหลักสูตรแล้ว ขอให้ท่านศึกษาค้นคว้าดูได้ เมื่อเข้าวิชาได้แล้ว เดินวิชา ๑๘ กายเป็นอนุโลมปฏิโลม เสร็จแล้วเดินวิชาเข้านิพพาน ไปหยุดนิ่งอยู่ในนิพพานให้นาน แล้วก็อธิษฐานใจดังนี้

(๑.) วันเอกราชของธาตุธรรม (วันที่ ๒๗ ธันวาคม ของทุกปี) วันนี้เป็นวันที่ " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " และกองทัพจักรพรรดิทั้งปวง ทำวิชาปราบมารมาด้วยกัน จนได้รับเอกราชในวันนี้ ขอให้ธรรมภาคขาวทั้งปวง ซึ่งประกอบด้วยพระพุทธองค์และผู้ได้มรรคผลนิพพานทั้งปวง ทั้งจักรพรรดิและกายสิทธิ์ของภาคขาวทั้งหมด ทั้งของนิพพานเป็น นิพพานกายธรรม ทั้งในแสนโกฏิจักรวาลธาตุแสนโกฏิจักรวาลธรรม มีมากน้อยเท่าไรก็ดี ทั้ง ทิพย์ พรหม อรูปพรหม และมนุษยโลก จงพ้นจากการปกครองของมาร จงเป็นเอกราชสืบไป กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญในวันนี้ ขอบูชาแก่ความเป็นเอกราชของธรรมภาคขาว ขอบูชากองทัพนักรบของธรรมภาคขาว ซึ่งมี " องค์ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " เป็นแม่ทัพ จงอธิษฐานใจอย่างนี้ อย่าลืม ! อย่าลืม !

(๒.) วันวิสาขบูชาของอายตนะนิพพาน ผลบุญที่ข้าพเจ้าประกอบแล้วในวันนี้ คือรักษาศีล ทำบุญใส่บาตร และเจริญภาวนาขอบูชาธรรมของพระบรมศาสดาและผู้ได้มรรคผลนิพพานของธรรมภาคขาว ที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว กำลังตรัสรู้อยู่ และที่จะตรัสรู้ต่อไป ขอให้ธรรมภาคขาวทั้งปวงจงชนะมารอย่างเสร็จสิ้นเด็ดขาดตลอดไป

(๓.) วันประกาศใช้ระบบมรรคผลนิพพานของธรรมภาค

ขาว วันนี้เป็นวันที่ธาตุธรรมภาคขาวท่านประกาศใช้ระบบมรรคผลนิพพานขึ้นใหม่ ให้ใช้ระบบนิพพานแบบสอุปาทิเสสนิพพาน คือให้ผู้ได้มรรคผลนิพพานเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ นั่นเป็นผลจากการปราบมารของ " องค์ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " และกองทัพจักรพรรดิของภาคขาว ขอกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าประกอบแล้วในวันนี้ บูชาพระพุทธองค์นิพพานภาคขาวทั้งปวง บูชากองทัพปราบมารของภาคขาวทั้งปวง ขอให้พระองค์จงชนะมารตลอดไป

(๔.) วันระลึกถึงพระเจ้า (วันกตัญญูกตเวที) วันนี้เราต้องระลึกถึงพระพุทธองค์ทั้งปวงของภาคขาว ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรม ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มีมากน้อยเท่าไรก็ดี พระองค์ทรงเป็นสรณะที่พึ่งของเรา ระลึกถึง " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " ที่ทำหน้าที่ปกครองทั้งปวง และปกครองมนุษยโลกทั้งหมด บารมีที่เราบำเพ็ญวันนี้ ขอบูชาพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงชนะมารในกาลทุกเมื่อ พระองค์จะได้ทราบว่า เรารู้คุณของพระองค์ พระองค์จะได้ป้องกันมารให้แก่เรา หากเราไม่ระลึกถึงหรือไม่บูชา มารเขาจะถือว่าเราไม่มีผู้ปกครอง เป็นช่องว่างที่มารเขาจะถือโอกาสย่ำยีเราได้ง่าย เหมือนกับว่าเราไม่มีลูกพี่คุ้มกัน นั่นเอง เพราะมารเขาคอยหาจังหวะหาโอกาสเขมือบสัตว์โลกอยู่แล้ว เมื่อเราไม่มีใครคุ้มกัน เขาก็ถือโอกาสรังแกเราทันที โดยเฉพาะวันที่ ๓๑ สิงหาคม ของทุกปี ควรส่งเงินไปบูชา " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " ก็จะเกิดบารมีแก่ตัวเรา

คำว่า " พระเจ้า " หมายถึงพระพุทธองค์ทั้งหมด ก็คือพระพุทธเจ้าทั้งปวงของภาคขาวทั้งหมด ทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น ในอายตนะนิพพานของภาคขาวทั้งหมด ทั้งในอดีตมีมากน้อยเท่าไรก็ดี ทั้งในปัจจุบันมีมากน้อยเท่าไรก็ดี และทั้งในอนาคตมีมากน้อยเท่าไรก็ดี กินความรวมถึง จุลจักร มหาจักร บรมจักร อุดมบรมจักร ต้นภาคปราบ ของภาคขาวทั้งหมด ทั้งในอายตนะนิพพานเป็นและอายตนะนิพพานกายธรรม รวมทั้งที่อยู่ในภพ ๓ ทั้งหมด กินความรวมถึงจักรวาลธาตุและจักรวาลธรรม ทั้งที่มีอยู่ในอรูปพรหม ๔ ชั้น ในพรหม ๑๖ ชั้น และในสวรรค์ ๖ ชั้น รวมทั้งที่มีอยู่ในมนุษยโลกของเราด้วย รวมทั้งที่อยู่ร่วมเป็นกองทัพทำวิชาปราบมารในกองทัพของ " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " อีกด้วย เป็นความหมายครอบจักรวาล เพราะพระองค์มาร่วมทำวิชาปราบมารจนกระทั่งเราชนะมาร เราต้องระลึกถึงทั้งหมด ที่ขาดไม่ได้ที่จะต้องระลึกถึงทุกวัน ก็คือระลึกถึง " ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู " เพราะพระองค์เป็นผู้ปกครองใหญ่ทั้งหมด ตามที่ธาตุธรรมท่านมอบอำนาจปกครองให้หมด ดังที่ได้กล่าวให้ทราบแล้วนั้น นี่คือ ความหมายของคำว่า " พระเจ้า " ของเรา ซึ่งคำว่า " พระเจ้า " นั้น เป็นคำที่นิยมพูดกันทั่วไปในขณะนี้ ส่วนคำว่า " กตัญญูกตเวที " เป็นถ้อยคำที่เราชาวพุทธคุ้นอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายมาก เราเข้าใจความหมายแล้ว เรารู้คุณของพระพุทธองค์และรู้คุณของจักรพรรดิที่มีต่อเรา ที่มีต่อมนุษย์ เราระลึกถึงพระองค์โดยใจ ทวารใจก็เปิดรับพระองค์ เหมือนหนึ่งเราเปิดประตูบ้าน หากเราไม่เปิดประตูบ้าน ใครก็เข้าบ้านเราไม่ได้ ? ข้าพเจ้าเปรียบเทียบความหมายให้ดู เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ เมื่อเราระลึกถึงพระองค์ พระองค์ก็ให้การคุ้มครองรักษา ขอเตือนว่า อย่าไปบูชาเจ้าบูชาผีเป็นอันขาด ! นั่นเป็นความเข้าใจผิดกันทั้งนั้น นั่นคือวิญญาณของมารทั้งนั้น เป็นการไปให้กำลังมาร เป็นการไปให้มารมันมีกำลัง แล้วมารมันก็เข้ามาปกครองเรา ในที่สุดเราก็ได้รับทุกข์ จงเลิกเชื่อเจ้า ! จงเลิกเชื่อผี ! จงเลิกเข้าทรง ! จงเลิกเข้าผีกันตั้งแต่วันนี้ ! มารมันจะได้สูญพันธุ์ไปจากโลกเสียที เพื่อมนุษย์จะได้เกิดสุขสันต์กันทั่วหน้า ขอร้องเถิดพี่น้องทั้งหลาย จงเลิกเซ่นเจ้า เลิกเซ่นผีกันเสียทีเถิด เลิกไหว้เจ้า เลิกไหว้ผีกันเสียทีเถิด เราเข้าใจผิดกันมานานแล้ว เราทำผิดกันมานานแล้ว เราไปบำรุงมารแท้ๆ เพราะเชื่อกันมาแต่โบราณ เราเสียเงินเพื่อการนี้ไปมากแล้ว เกิดเพลิงไหม้เพราะจุดธูปเทียนไปมากแล้ว เราก็ได้รู้ได้เห็นเรื่องนี้กันทั่วแล้ว จงเลิกเชื่อประเพณีผิดๆ เหล่านั้นเสียทีเถิด เราระลึกถึงบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว เราก็ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ตามความรู้ทางพระพุทธศาสนา บรรพบุรุษจึงจะได้รับส่วนกุศล ไปทำอย่างอื่น เช่น เซ่นไหว้ด้วยอาหารคาวหวานผลไม้ มารเอาไปกินทั้งนั้น วิญญาณบรรพบุรุษของเราไม่ได้กินเลย ข้าพเจ้าเตือนเรื่องนี้มานานแล้ว ควรจะรับฟัง ความรู้ที่ถูกต้อง คือความรู้ที่ข้าพเจ้าบอกให้ทราบนี้ จงปฏิบัติเถิด)

๑๖. พระพุทธเจ้ามีกี่ภาค ? อะไรบ้าง ? ภาคใดสร้างบารมีอย่างไร ? ในการมาตรัสรู้ธรรมในโลกเพื่อมาสอนมนุษย์ในโลกนั้น กติกาในการตรัสรู้ของภาคขาวนั้น จะต้องตรัสรู้หลักสูตรอะไรบ้าง ? จงแสดงความรู้ของท่านตอบให้ชัดเจน

(แนวเฉลย พระพุทธเจ้ามี ๒ ภาค คือภาคปราบและภาคโปรด ตามที่เคยกล่าวมาแล้วนั้น พระพุทธเจ้าภาคโปรดสร้างบารมีง่ายกว่าภาคปราบ การสร้างบารมีของโพธิสัตว์ภาคปราบนั้น ต้องสร้างบารมีมากกว่าของโพธิสัตว์ภาคโปรด เพราะจะต้องเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ตามประวัติการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีใครมีความรู้บอกเราได้อีกแล้ว การที่ข้าพเจ้ารู้มาได้นั้น เป็นเพราะข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารมานานปี ตั้งข้อสังเกตไปและเรียนรู้เรื่อยไป ก็พอทราบได้ว่า การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าภาคปราบนั้น ดำเนินมาได้ไม่นาน การสร้างบารมีประเภทนั้นก็เป็นอันยุติ เพราะมารเขาไม่ยอมคงมีแต่การสร้างบารมีของภาคโปรดเท่านั้น เหตุผลที่มารไม่ยอมให้ภาคขาวสร้างบารมีภาคปราบ หากยอมให้ภาคขาวสร้างบารมีภาคปราบดำเนินไปตามปกติแล้ว สักวันหนึ่งพระพุทธเจ้าภาคปราบของภาคขาวจะต้องโค่นอำนาจปกครองของมารเป็นแน่แท้ จึงไม่ยินยอมให้ภาคขาวสร้างบารมีภาคปราบอีกต่อไป นี่คือเหตุผล ต่อมากล่าวถึงการมาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในโลกเพื่อสอนมนุษย์นั้น การตรัสรู้ของธรรมภาคขาวจะต้องตรัสรู้ ๒ หลักสูตร คือหลักสูตรภาคโปรด และหลักสูตรภาคปราบด้วย อย่างน้อยหลักสูตรละ ๘๔ , ๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ครั้นมาตรัสรู้เข้าจริง คงตรัสรู้ได้หลักสูตรเดียวคือหลักสูตรภาคโปรดเท่านั้น ส่วนหลักสูตรภาคปราบไม่อาจตรัสรู้ได้เพราะเขาขัดขวางอย่างแข็งขัน ต่อมาการตรัสรู้ของพระพุทธองค์คงตรัสรู้ได้เพียงหลักสูตรเดียวตลอดมา การตรัสรู้หลักสูตรภาคปราบเอาไปตรัสรู้ในอายตนะนิพพานนั้น ครั้นพระพุทธองค์สิ้นพระชนม์ลงได้มรรคผลนิพพานจึงเสด็จเข้าอายตนะนิพพานไป และเมื่อเข้าอายตนะนิพพานเข้าจริงกลับปรากฏว่า ตรัสรู้หลักสูตรภาคปราบไม่ได้ เพราะมารเขาขัดขวาง จึงเกิดความผิดหวังอย่างใหญ่หลวงของธรรมภาคขาว เหตุการณ์นี้เริ่มตั้งแต่มีมรรคผลนิพพานมาทีเดียว การที่ภาคขาวตรัสรู้วิชาหลักสูตรภาคปราบไม่ได้ จึงอยู่ใต้ปกครองของมารในทุกรูปแบบ และการที่ภาคขาวจะตรัสรู้ความรู้หลักสูตรภาคปราบได้นั้น ผู้ใหญ่ในฝ่ายปกครองของภาคขาว ท่านแก้ไขโดยส่งคนของท่านที่มีความรู้วิชาภาคปราบให้ลงมาเกิด เพื่อให้มาทำวิชาปราบมาร ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วนั้น บัดนี้ งานปราบมารมาถึงจุดสำคัญ ส่งผลให้พระพุทธองค์ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรมได้ตรัสรู้พร้อมกันในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เรียกวันนี้ว่า " วันวิสาขบูชาของนิพพาน " ดังที่ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวมาแล้วนั้น)

๑๗. งานปราบมารมาถึงจุดหนึ่ง กล่าวว่านิพพานไม่มีดวงธรรม ๖ ดวง ถามว่าดวงธรรม ๖ ดวงนั้น คืออะไร ? และเมื่องานปราบมารมาถึงขั้นแก้ไขให้นิพพานเกิดดวงธรรม ๖ ดวงได้แล้ว ได้รับผลดีอะไรบ้าง ? จงบรรยายความรู้ของท่านให้ชัดเจน

(แนวเฉลย ดวงธรรม ๖ ดวงของอายตนะนิพพาน คือการรวมกายของอายตนะนิพพานทั้งหมด ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรมเข้าด้วยกัน ให้เป็น " หนึ่งเดียว " คือให้เป็นกายเดียว ตามแนววิชาซ้อนสับทับทวีที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ในวิชาธรรมกายชั้นสูงหลักสูตร " วิชชามรรคผลพิสดารภาค ๑ " นั้น การเดินวิชารบ จะต้องเข้าดวงธรรม ๖ ดวงเสมอไป คือ ดวงปฐมมรรค-ดวงศีล-ดวงสมาธิ-ดวงปัญญา-ดวงวิมุตติ-ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เรื่อยไปทีเดียว เพราะดวงธรรม ๖ ดวงมีมากมาย ตั้งแต่หยาบไปถึงละเอียด และละเอียดเข้าไปเป็นเถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด และ ในเถา-ในชุด-ในชั้น-ในตอน-ในภาค-ในพืด และในเข้าไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเอง ในกรณีที่เรามาพบว่าเมื่อมาถึงจุดนี้ ปรากฏว่าอายตนะนิพพานไม่มีดวงธรรม ๖ ดวงเสียแล้ว เราจึงเดินวิชาต่อไปไม่ได้ เพราะดวงธรรมทั้งปวงเป็น " มรรค " คือเป็นทางเดิน การไม่มีดวงธรรม แปลว่าเราไม่มีทางเดินเสียแล้ว เราไปไหนไม่ได้เสียแล้ว ตรงนี้คือ " ทางตันของอายตนะนิพพาน " ของภาคขาว เพราะทะเลรู้ทะเลญาณของภาคขาวมีแค่นั้น รู้เห็นอะไรต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็ว่า ทางเดินของภาคขาวมีแค่นั้น ต่อจากนั้นเราไปไหนไม่ได้แล้ว ตรงนี้บ่งบอกให้เรารู้ว่า ดวงธรรม ๖ ดวงทั้งหมดของภาคขาวที่มีแต่เดิมนั้นเป็น " สุดหยาบ " ส่วนดวงธรรมประเภทสุดละเอียด ถูกมารดับจนหมดสิ้น จะพูดว่าดวงธรรม ๖ ดวงนั้นเป็นปิฎกธาตุปิฎกธรรมของภาคขาวก็ถูก นั่นคือปิฎกธาตุปิฎกธรรมของภาคขาวถูกมารดับตั้งแต่จุดนี้ เพราะเหตุนี้เอง มารเขาจึงรู้อะไรของภาคขาวจนหมดสิ้น แต่ภาคขาวไม่รู้อะไรของภาคมารเลย คือ " เขารู้เรา " แต่ " เราไม่รู้เขาเลย " การเดินวิชาปราบมารแก้ไขให้อายตนะนิพพานเกิดดวงธรรม ๖ ดวงประเภทสุดละเอียดขึ้นได้ในจุดนี้ ส่งผลให้อายตนะนิพพานตรัสรู้วิชาภาคปราบได้ในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ นั้น และเรียกวันนั้นว่า " วันวิสาขบูชาของอายตนะนิพพาน " การเดินวิชาต่อมา เรื่องดวงธรรม ๖ ดวงยังไม่จบ เพ ราะยังพบตลอดเวลาว่าดวงธรรม ๖ ดวงขาดหายไปอีกแล้ว การเดินวิชาก็ยังต้องแก้กันต่อไป งานทำวิชายังไม่ยุติในวันนี้ ไม่ทราบว่าข้อยุติจะมีอย่างไรต่อไป ? วันนี้ยังบอกอะไรไม่ได้มาก โปรดเข้าใจว่า การเดินวิชาต้องส่งใจเข้าดวงธรรมเสมอไป กลางดวงธรรมจะมี " กลาง " คือ " จุดใสเท่าปลายเข็ม " ต้องส่งใจเข้ากลางดวงธรรม แล้วเข้าจุดใสเท่าปลายเข็มของแต่ละดวงเสมอไป ดังที่หลวงพ่อท่านสอนว่า " กลางของกลางๆๆ ดับหยาบไปหาละเอียดๆๆ " นั้น เมื่อสุดดวงธรรม ๖ ดวงชุดนี้แล้ว ก็เข้าดวงธรรม ๖ ดวงชุดใหม่ต่อไป แล้วก็ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด คือละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ เราก็เห็นละเอียดเข้าไปเรื่อยไป ดวงธรรมคือมรรค ดวงธรรมคือทะเลญาณ ดวงธรรมคือปิฎกธาตุปิฎกธรรม (คือสุตตันตปิฎก วินัยปิฎก อภิธรรมปิฎก) มีละเอียดเข้าไปเรื่อยไป เราต้องเดินวิชาต่อไป จนถึงจุดที่มารเข้ามาบังคับดวงธรรมเหล่านี้ไม่ได้ และเมื่อไรการเดินวิชาจะถึงเป้าหมายนี้ ? ยังตอบไม่ได้ทั้งนั้น)

๑๘. คำถามนี้เป็นคำถามสำคัญ เพราะท่านอ่านมามากแล้ว ให้นำความรู้ที่อ่านพบมาตอบให้จงได้ คำถามมีว่า เมื่อมรรคผลนิพพานของธรรมภาคขาวเกิดขึ้นนั้น ในสายตาของมาร เขามองดูมรรคผลนิพพานของภาคขาวด้วยวิสัยทัศน์อย่างไร ? คือเขามีความเห็นต่อมรรคผลนิพพานของภาคขาวอย่างไร ? นั่นเอง

(แนวเฉลย ต้องทราบความรู้เดิมก่อนว่า ธรรมภาคมารเกิดก่อนธรรมภาคขาว คือธรรมภาคขาวเกิดขึ้นทีหลัง ทราบได้จากธาตุธรรมท่านบอก เมื่ออายตนะนิพพานของภาคขาวเกิดขึ้นทันใด ! มารเขายิ้มด้วยความชอบใจทันที ว่าบัดนี้อาหารโอชะได้มาถึงเขาแล้ว เหมือนกับความรู้สึกของสิงโตและความรู้สึกของเสือ ที่มองเห็นฝูงม้าลายเกิดขึ้นในป่า เห็นฝูงเก้งฝูงกวางเกิดขึ้นในป่า เห็นฝูงวัวป่าเกิดขึ้นในป่า หากเราดูภาพยนตร์สารคดีในช่อง ๙ เราจะนึกภาพออกทันที พอถึงเวลา สิงโตและเสือก็ออกมาล่าจับสัตว์เหล่านี้กินได้ทุกวัน เราไม่เคยเห็นม้าลาย กวาง เก้ง วัวป่า รวมตัวกันต่อสู้ เห็นแต่ม้าลาย กวาง เก้ง วัว วิ่งหนีอย่างเดียว จะดูภาพยนตร์กี่เรื่อง ? ก็ยังไม่พบว่าสัตว์ใดคิดสู้ เห็นแต่วิ่งหนีเอาตัวรอด แต่แล้วก็ไปไม่รอด ถูกสิงโตและเสือจับกินจนหมดฝูง แต่วันหนึ่งเราโชคดี ที่ได้เห็นควายป่า ๒ ตัวหันหลังชนกันสู้เสือ แม้ฝูงเสือจะมากตัว แต่ก็สู้ควายป่า ๒ ตัวไม่ได้ สิงโตและเสือมีอาวุธร้ายที่เล็บและเขี้ยว เหตุใดสัตว์ที่มีเขายาวเช่น กวางจึงไม่คิดสู้ ? ต่อมาคือวัวป่า แม้เขาจะสั้น แต่ทำไมไม่สู้ ? ม้าที่บ้านเรา พอได้กลิ่นของเสือ เหตุใดมันไม่ยอมเดิน ? มันยอมให้เสือตะปบกินโดยที่มันไม่วิ่งหนี เพราะฝีเท้าการวิ่งของม้า มีความเร็วปานใด ? เราก็ทราบดีอยู่แล้ว นี่คือเรื่องของสัตว์เจ้าป่า คือสิงโตและเสือเป็นเจ้าป่า คราวนี้เรามาดูมรรคผลนิพพานของภาคขาวกันบ้าง เราต่อสู้มารมาอย่างไร ? เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าขอพูดว่า ภาคขาวสู้มาตลอด แม้จะสู้ไม่ได้ แต่ก็สู้มาตลอด หากเราไม่สู้ ก็เหมือนม้าลาย เก้ง กวาง วัวป่า เป็นอาหารอันโอชะของสิงโตและเสือดีๆ นี่เอง เรื่องที่เราควรคิดก็คือ สัตว์ที่มีเขา มันมีเขาไว้เพื่อต่อสู้พวกเดียวกันเองเท่านั้น เวลามันขวิดกันเพื่อแย่งตัวเมีย มันสู้กันถึงกับเอาเป็นเอาตายทีเดียว แต่เวลาป้องกันตัวให้รอดจากการเป็นเหยื่อของสิงโตและเสือ ทำไมมันไม่ใช้เขาของมันให้เป็นประโยชน์ ? เพราะถึงอย่างไรมันก็จะตายแล้ว ม้าก็เหมือนกัน ใช้เท้าเตะได้ ใช้ปากกัดได้ กระโดดสุ่มได้ ทำไมมันไม่ใช้เลย ? มันกลับยอมให้เสือกินเอาดื้อๆ ดูภาพยนตร์สารคดีทีไร ? เห็นเสือกินม้าทุกทีไป กินได้อย่างง่ายดาย สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก ม้ามันชอบวิ่งไล่เด็กนักเรียน ข้าพเจ้ากับเด็กเพื่อนๆ ต้องคอยหนีม้าอยู่ทุกวัน มันแสดงท่าดีด มันแสดงท่ากระโดดสุ่ม จนพวกเรากลัวและต้องวิ่งหนีอยู่เรื่อยๆ ควายตัวเดียว สู้เสือไม่ได้ถ้าถูกเสือรุม คือเสือมันส่งพรรคพวกของมันเข้าข้างหลังบ้าง เข้าข้างๆ บ้าง ล่ออยู่ข้างหน้าบ้าง เสือตัวที่เข้าข้างหลัง จะถือโอกาสขึ้นบนหลังควายได้ แล้วควายจะล้มลง พอควายล้มลงแล้ว สมุนเสือทั้งหลายจะวิ่งเข้ามารุมฉีกเนื้อควายอย่างทันใด ! ภาพยนตร์อีกฉากหนึ่ง เหตุใดควาย ๒ ตัวหันหลังชนกัน ? แล้วสู้เสือทั้งฝูงได้ กลับมาดูมรรคผลนิพพานของเราบ้าง ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์กันอีกต่อไป สรุปว่า ภาคขาวแพ้มารราบคาบ ไม่ใช่เพิ่งราบคาบเดี๋ยวนี้ ราบคาบมาตั้งแต่เริ่มมีมรรคผลนิพพานแล้ว ส่วนที่เราเรียนรู้ในหนังสือพุทธประวัติ กล่าวถึงพระพุทธองค์ว่าชนะมารนั้น เป็นการชนะแบบเล็กน้อยเท่านั้น ได้แก่เรื่องราวตามที่ปรากฏอยู่ในบทสวดอิติปิโสและบทพาหุงฯ นั้น)

๑๙. ประวัติการปราบมารของข้าพเจ้า ตามที่อ่านผ่านมาแล้วนั้น พบว่าธาตุธรรมไม่ได้ช่วยอะไรข้าพเจ้าเลย การปราบมารคราวนี้เป็นการ " จับเสือมือเปล่า " ถามว่า เมื่อข้าพเจ้าทราบความจริงแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความเสียใจหรือไม่ ? ข้าพเจ้ามีความคิดเช่นไรต่อกรณีที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าเช่นนี้ ?

(แนวเฉลย ธาตุธรรมท่านบอกให้ข้าพเจ้าทราบ คือ " ต้นนิพพานเป็น " ทรงบอกเรื่องราวให้ทราบก่อน ข้าพเจ้าก็ฟังไว้ และต่อมา " ต้นธาตุนิพพานกายธรรม " ก็บอกให้ข้าพเจ้าทราบเช่นเดียวกัน ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าก็เสียใจ ! คิดมาก ! เหมือนกับการทำสงครามในโลก จะต้องออกกฎหมายบังคับให้ประชาชนนำเงินมาให้แก่รัฐ เพื่อจะเอาเงินนั้นมาทำสงคราม เพราะการทำสงครามใช้เงินมากมาย ใช้ทหารมากมาย ใช้ความรู้มาก ใช้เทคโนโลยีมาก ใช้อาวุธมาก จึงต้องใช้เงินมาก แต่การปราบมารของข้าพเจ้า ไม่มีใครช่วย ! ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นว่าแปลกอยู่มากๆ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะรู้ความจริง ข้าพเจ้าได้บรรยายไว้ในเรื่องราวการปราบมารของข้าพเจ้าแล้ว หากท่านติดตามอ่านทุกเล่มท่านจะจำได้ ข้าพเจ้าบรรยายว่า การปราบมารของข้าพเจ้านั้น เป็นละครเรื่อง " ข้ามาคนเดียว " หมายความว่า มันขัดสนไปหมด ไม่มีใครช่วยอะไรเราได้เลย ? เราทำคนเดียวตั้งแต่ไม้จิ้มฟันจนถึงทำเรือรบ ไม่รู้ว่าทำมาได้อย่างไร ? อยากได้เงินค่ารถเพียง ๑๐๐ บาทเท่านั้น เราก็ยังหาไม่ได้ ตำราเขียนเอง ตรวจเอง แจกเอง สอนเอง ตอนกลางคืนทำวิชาปราบมาร ตลอดวันไม่มีเวลาว่าง เวลาทั้งปวงใช้ไปในเรื่องพิมพ์ตำรา แจกตำรา เผยแพร่ ออกไปสอน พอถึงเวลาค่ำต้องทำวิชาปราบมาร เป็นเช่นนี้มานาน ครั้นมาถึงจังหวะหนึ่ง คงเป็นการปราบมารมาถึงปีที่ ๑๕ เห็นจะได้ " ต้นนิพพานเป็น " ทรงรับสั่งให้ทราบว่า งานปราบมารของข้าพเจ้า ธาตุธรรมไม่ได้ช่วยอะไรเลย งานปราบมารที่ข้าพเจ้าทำนั้น เป็นการ " จับเสือมือเปล่า " ข้าพเจ้าก็เลยระลึกถึงความหลังที่ผ่านมา เหตุที่ข้าพเจ้าขัดสนปานนั้น เนื่องจากธาตุธรรมท่านไม่ได้ช่วยอะไร นั่นเอง ข้าพเจ้ามีความเสียใจเหมือนกัน แต่ก็ทำใจได้ เพราะธาตุธรรมก็ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างเป็นแน่ ครั้นเหตุการณ์ต่อมา ธาตุธรรมท่านก็บอกให้ทราบอีกว่า งานปราบมารตั้งแต่อดีต มีมาแล้วมากมาย ทำกันมาหลายยุคหลายสมัย " ต้นนิพพานเป็น " รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า พระองค์ไม่ยอมรับ และต่อมา " ต้นธาตุนิพพานกายธรรม " ก็รับสั่งให้ข้าพเจ้าทราบถึงงานปราบมารในอดีตว่า งานปราบมารในอดีต ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นอันว่า ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรมรับสั่งตรงกัน กล่าวถึงงานปราบมารในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ เหตุการณ์มาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าก็ได้ข้อคิดว่า การที่ธาตุธรรมไม่ช่วยอะไรแก่เรานั้น คงมีเหตุผลว่า ตั้งแต่อดีตที่งานปราบมารมีขึ้นนั้น ธาตุธรรมท่านลงทุนให้ทั้งนั้น แต่แล้วไม่ได้ผลอะไร ? จึงไม่อยากลงทุนอะไรให้แก่ข้าพเจ้า เพราะเคยลงทุนมาให้มากต่อมากแล้ว เสียบารมีไปมากแล้ว แต่ไม่ได้ผลงานอะไร ? ขืนให้ไปอีก ก็คงไม่ได้ความอะไร ? เสียบารมีไปเปล่าๆ แต่ก็อยากให้ข้าพเจ้าประลองฝีมือดูบ้าง จึงให้ข้าพเจ้าลงมาเกิด หากเปรียบเทียบไปแล้ว ข้าพเจ้าก็คือมวยไม่อยู่ในสายตา ธาตุธรรมต้องคิดเช่นนั้น นี่คือการเดาของข้าพเจ้า แต่เป็นการบังเอิญว่างานปราบมารของข้าพเจ้าเข้าตากรรมการ จึงจัดว่าเป็นเรื่อง " ฟลุ๊ก " ซึ่งข้าพเจ้าก็คาดไม่ถึงว่าจะได้ผลงานปานนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ เราพิมพ์ตำราปราบมารออกมาได้ เล่มนี้เป็นเล่มที่ ๕ นี่คือพยานแห่งการปราบมาร มารเขาห้ามทำตำราเป็นหนังสือ แต่ข้าพเจ้าดื้อดึงสามารถพิมพ์ตำราปราบมารออกสู่สายตาชาวโลกได้ เป็นงานที่ข้าพเจ้าดีใจมาก ! โดยปกติแล้ว หากใครพิมพ์ตำราออกมา มารเขาเอาถึงตายทุกคน จึงไม่มีใครกล้าทำ แต่ข้าพเจ้ากล้าขัดคำสั่งของมาร จนวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ตาย จึงถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์มากทีเดียว ข้าพเจ้ากล่าวว่า " ตำราเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก " เพราะไม่ใช่ทำได้ง่าย ตามเหตุผลที่ข้าพเจ้าชี้แจงให้ทราบแล้ว เพราะมันหมายถึงชีวิตทีเดียว วัตถุประสงค์สำคัญของการทำตำราไว้ ก็เพื่อรอรับโพธิสัตว์ที่จะลงมาเกิด เพราะธาตุธรรมท่านจะต้องให้คนของท่านลงมาเกิด เพื่อมาสืบสานงานต่อไป หากไม่มีตำราไว้ ก็เป็นอันไม่มีเครื่องมือค้นคว้า คนที่จะถูกตำหนิก็คือข้าพเจ้า ดังนั้น เราต้องทำงานให้รอดตัวเข้าไว้ นั่นเอง แต่งานปราบมารยังไม่เสร็จ เพราะมารยังดับไม่หมด เพียงแต่ได้ผลงานในระดับหนึ่งเท่านั้น งานปราบมารยังต้องทำต่อไป และตำราปราบมารยังต้องทำต่อไป เมื่อมีผลงานแล้ว จะต้องเอาผลงานเสนอชาวโลกต่อไป)

๒๐. ท่านอ่านมามากแล้ว อ่านตำราปราบมารมาหลายภาค

แล้ว จงนำความรู้นั้นมาตอบ คำถามมีว่า ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมาร ขณะที่เข้านิพพานอยู่นั้น มีความขัดข้องทางวิชาเกิดขึ้น จะถามความรู้ธาตุธรรมหรือถามพระพุทธองค์ ได้หรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?

(แนวเฉลย การถามความรู้ต่อธาตุธรรมก็ดี หรือจะถามพระพุทธองค์ก็ดี กระทำได้ยาก เพราะจะเป็นการไปเพิ่มข้อหาให้แก่พระองค์ทีเดียว มารเขาห้ามไว้หมด ห้ามบอกความรู้แก่ใคร ! ห้ามติดต่อกัน! ห้ามค้นคว้าควา มรู้ทั้งปวง! ห้ามตรัสรู้ใดๆ! ใครขัดคำสั่ง ? เขาก็ลงโทษ รูปแบบการลงโทษมีหลายรูปแบบ ข้าพเจ้านำข้อมูลนี้มารายงานแล้วในหนังสือปราบมารทุกภาค หากเราไปถามความรู้ต่อพระองค์ เท่ากับเราไปหาเหตุให้พระองค์ได้รับโทษ นั่นเอง วิธีทำของเราก็ต้องตั้งข้อสังเกตเอาเอง ทำวิชาไปเอง แล้วความรู้จะเกิดขึ้นแก่ใจของเราเอง แล้วเราจงบันทึกความรู้นั้นลงในสมุดบันทึกอย่างทันใด ! คราวนี้ก็มาถึงประเด็นว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามารเขาห้ามไปหมด ? เรื่องนี้ไม่ยาก เมื่อเราทำวิชานานเดือนนานปีเข้า เราจะรู้ไปเอง เพราะเราเป็นผู้รู้ผู้เห็นอยู่ทุกวัน นำสิ่งที่ได้รู้เห็นมาประมวลกันเข้า ก็พอทราบว่าอะไรเป็นอะไร ? ทั้งนี้เกิดจากการสังเกตของเรา เราจะทราบไปเอง)

 

โปรดติดตามตอนต่อไป....

 

เนื่องจากตำราเล่มปราบมารภาค ๕ ได้จัดพิมพ์ออกมาจำนวนจำกัดและยังมีเหลืออยู่บ้าง จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลายซื้อเป็นเจ้าของไว้ เพียงราคาเล่มละ 200 บาท ค่าจัดส่งอีกเล็กน้อย โดยติดต่อ
คุณวันชัย 038 444-720 ยินดีให้บริการครับ