หน้า 6

ปราบมาร ภาค ๕

 

                ในเล่ม ปราบมาร ภาค ๔  ได้รายงานไปแล้วถึงผลงานสำคัญ ขอให้ท่านกลับไปอ่านทบทวนดูใหม่ ว่าผลงานปราบมาร ภาค ๔ มีอะไรบ้าง ? ขอให้ท่านเปิดไปอ่านหน้า ๒๒๔ ในหัวข้อ พบต้นธาตุนิพพานเป็น และพบผู้ปกครองใหญ่นิพพานเป็น มารเขาจับตัวไปทรมาน นั้น

                เป็นการรายงานผลงานเพียง ๒ พระองค์เท่านั้น งานปราบมารทำติดต่อกันมา ไม่เว้นเลยแม้แต่วันเดียว ยังพบต้นนิพพานเป็น ที่ถูกมารจับตัวไปทรมานเพิ่มขึ้นอีก ขอรายงานให้ทราบ (สมุดบันทึกเล่มที่ ๒๔) ดังนี้

                ๑.)           พบต้นธาตุนิพพานเป็น (เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๐๔) เมื่อวันที่                                    ๓๐ ก.ย. ๒๕๔๒

                ๒.)          พบผู้ปกครองใหญ่นิพพานเป็น (เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๑๗)                                      เมื่อวันที่ ๕ ต.ค. ๒๕๔๒

                ๓.)          พบต้นธาตุนิพพานเป็น (เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๓๒) เมื่อวันที่                                   ๑๔ พ.ย. ๒๕๔๒

                ๔.)          พบต้นนิพพานเป็น (เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๓๒) เมื่อวันที่ ๒๒                                                 พ.ย. ๒๕๔๒

                ๕.)          พบต้นนิพพานเป็น (เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๔๐) เมื่อวันที่ ๒๖                                   พ.ย. ๒๕๔๒

                สรุปว่า เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๒ ดวงดีจริงๆ ที่เราได้ดั้นด้นไปพบ ต้นนิพพานเป็น ที่มารเอาไปทรมานหลายพระองค์ โดยที่เราคาดคิดไม่ถึงว่าเราจะมาพบเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อเรามาพบเข้าแล้ว เราถึงกับมือเท้าอ่อน คิดไม่ถึงว่ามารมันเก่งถึงขนาดมาอุ้มเอากายของพระองค์ไปได้ เขาเอาไปทำโทษ เขาเอาไปกักกัน พระองค์หมดอิสรภาพ กระดุกกระดิกตัวไม่ได้ เคลื่อนไหวพระวรกายไม่ได้ มารเขาทำวิชาบังคับกายบังคับใจ ตรึงติดอยู่กับที่ ไม่ให้เคลื่อนไหวได้เลย

                ในเวลาเพียงไม่กี่วัน พบต้นนิพพานเป็นที่มารเอาตัวไปถึง ๕ พระองค์ นับว่าเป็นโชคของเรา ที่เราไปถอนถอยเอาพระองค์กลับคืนมาได้ พระองค์ทุกข์ร้อนมาแล้วเป็นเวลานานแค่ไหน ? ไม่มีใครทราบ และถ้าเราไม่พบ พระองค์จะทุกข์ร้อนไปอีกยาวนานแค่ไหน ? เราก็ทราบไม่ได้ เกินปัญญาที่คนอย่างเราจะคาดเดา ถ้าตัวเราเองไปถูกมารมันเอาไปทรมานอย่างนั้นบ้าง เราจะว่าอย่างไร? เราจะคิดอย่างไร ? เราเกิดความสลดใจ พระองค์ทรงทุกข์ร้อนถึงที่สุดแล้ว ทุกข์เหลือที่จะทุกข์แล้ว ลำบากยากเข็ญเหลือที่จะกล่าวแล้ว  พระองค์ทรงรับสั่งว่า  พระองค์ไม่มีอนาคตแล้ว การที่ข้าพเจ้าเดินวิชาไปช่วยเอาพระองค์กลับคืนมาสู่นิพพานได้นั้น ทรงกล่าวว่า เหมือนได้เกิดใหม่ พระองค์ทรงขอบคุณ

                ความดีเช่นนี้ ลุงการุณย์ บุญมานุช ทำมาแล้วมากมาย !!!

                จะได้บุญปานไหน? จะได้ดวงบารมีปานไหน? ท่านอยากได้บารมีอย่างข้าพเจ้าบ้าง เคยมีหลายท่านถามข้าพเจ้า ท่านไม่เป็นวิชาอย่างข้าพเจ้า เป็นธรรมกายเหมือนกัน แต่ฝีมือไม่ถึงขั้นจะทำวิชาชั้นสูงได้ ถามว่า ทำอย่างไรจึงจะได้บารมีอย่างข้าพเจ้าบ้าง? นี่คือประเด็นที่ท่านถาม ข้าพเจ้าขอตอบว่า ท่านมีสิทธิ์ช่วยประการอื่น ท่านมีอะไรก็เอาสิ่งนั้นไปช่วย ท่านมีเงินก็ส่งเงินไป ก็น่าจะทำได้ ข้าพเจ้าก็ตอบคำถามท่านชัดเจนแล้ว

                ผลงานตามที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่สร้างวัด ไม่ใช่สร้างศาลา ไม่ใช่หล่อพระพุทธรูป ไม่ใช่สร้างเจดีย์ งานก่อสร้างวัตถุทั้งปวงไม่ใช่งานยาก เป็นงานที่ใครๆ ก็ทำได้ มีเงินแล้วทำได้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปเรียนรู้อะไรมาก แม้เราอ่านหนังสือไทยไม่ได้ เรียนไม่จบชั้นประถม ๔ เพียงแต่มีเงิน เราก็ทำงานวัตถุได้ทุกคน และเราก็ได้เห็นกันทั่วเมืองแล้ว งานอย่างนั้น ใครๆ ก็ทำได้ มีเงินแล้วก็ทำได้ทั้งนั้น แต่งานที่ยากลึกซึ้งที่ข้าพเจ้ากล่าวบรรยายมานี้ ถามว่าจะเอาใครในโลกไปทำ ? ให้ท่านตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อน เอาความร่ำรวยไปทำได้ไหม ? เอายศถาบรรดาศักดิ์ไปทำได้ไหม ? เอาความมีอำนาจไปทำได้ไหม ? จะเอานักปราชญ์คนใดไปทำ ? จะเอาคนเก่งท่านใดไปทำ ? ขอให้ตอบคำถามนี้ให้ได้  หมดโลกนี้จะเอาใครไปทำ ? ท่านที่เป็นธรรมกายก็เข้ากายธรรมไปถามให้ทั่วแสนโกฏิจักรวาล

                ทำได้อย่างเดียวคือวิชาธรรมกายชั้นสูงเท่านั้น อย่างอื่นทำไม่ได้เลย ท่านที่เป็นธรรมกาย แต่ทำไม่ได้ หมายความว่าอะไร? หมายความว่าความรู้เพี้ยนไปหมดแล้ว เรียนมาร้อยปีก็จริง ข้าพเจ้าไม่เถียง เรียนมาตั้งแต่ครั้งหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ แต่พอถามว่า เคยเปิดตำราอ่านความรู้แล้วตรวจสอบความรู้ของเราบ้างหรือเปล่า? เปล่าทั้งนั้น ! แล้วยังมายึดความเพี้ยนเป็นความถูกต้อง อย่างนี้มารกลืนความรู้ของเราหมดแล้ว  ความรู้ของเราใช้การไม่ได้แล้ว  จึงทำอะไรไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง  แล้วจะมาค้นวิชาชั้นสูงได้อย่างไร ? เรื่องนี้ขอให้ผู้คงแก่เรียนหูตาสว่างกันเสียทีเถิด ถูกมารบังคับไปขนเงินไปให้เขา  สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร ?  มาเสียใจหนหลัง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว  เพราะเอาเงินไปให้เขาสร้างวัตถุเล่นโก้ ๆ จะฟ้องร้องเขาก็ไม่ได้  ดังที่เราเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์และตามสื่อต่าง ๆ แล้ว

องค์ที่ ๑-๒ รายงานแล้วในปราบมารภาค ๔ ส่วนองค์ที่ ๓-๔-๕ จะรายงานให้ทราบดังนี้

                องค์ที่ ๓ พบเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ เปิดดูสมุดบันทึก เขียนไว้ดังนี้ ไปพบพระองค์เข้า ทรงอยู่องค์เดียว จึงทำวิชาแก้ไขเอาพระองค์กลับคืนมา ถามพระองค์ว่า พระองค์มีตำแหน่งปกครองอะไรของนิพพานเป็น ? ทรงตอบว่าเป็น ต้นธาตุ ของนิพพานเป็น ทรงอธิบายว่า เมื่อมารเอาตัวของพระองค์ไปแล้ว องค์อื่นก็ทำหน้าที่ปกครองแทนพระองค์  เราได้ข้อคิดในวันนั้นว่า  นิพพานเป็นมีกายมนุษย์ มารมันยังเอาตัวไปได้ แล้วนิพพานกายธรรม จะมีอะไรเหลือ ! ? !

                องค์ที่ ๔ พบเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ในบันทึกเขียนไว้ดังนี้ ได้พบต้นนิพพานเป็นองค์ใหม่ ท่านอยู่กับที่เคลื่อนตัวไม่ได้เลย ถูกตรึงตัวไว้อย่างแน่นหนา จึงเดินวิชาแก้ไขเอาพระองค์กลับมาได้  แล้วก็คุยกับท่าน  ท่านขอบคุณ ท่านบอกว่า ท่านเป็นต้นนิพพานเป็นก่อนใครๆ ความรู้ที่ได้ในวันนี้คืออะไร ? ก็คือมารเขาทำวิชาบังคับใจ จนในที่สุดใจของเรากระดุกกระดิกไม่ได้ สุดท้ายมารเขาก็เอากายไปได้ เอาไปไว้ในเหตุลึกลับ ที่ธรรมภาคขาวนิโรธไปไม่ถึง  มารเขาคำนวณวิชาของเขาอย่างนั้นเสมอ  การที่เราไปพบพระองค์ได้  เป็นโชคของเราอย่างบังเอิญ  เราไม่ได้เก่งอะไร ? พอได้เวลาก็ทำวิชาตามหน้าที่ เราไปพบพระองค์ จึงว่าเป็นโชค !

                จงจำไว้เป็นตำราได้เลยว่า ถ้ารู้ญาณของเราฝืด เดินวิชาไม่คล่องตัว จงอย่าท้อถอย ! ให้แข็งใจเดินวิชาต่อไป อย่าหมดกำลังใจ  แล้วจะต้องพบอะไรดีๆ ในเบื้องหน้าเสมอ ความรู้นี้เกิดจากประสบการณ์ในการทำวิชา สังเกตมานานแล้ว

                องค์ที่ ๕  พบเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๒  ท่านบอกว่า ตัวท่านเป็นต้นนิพพานเป็นองค์แรก ต้นนิพพานเป็นองค์อื่นเป็นรุ่นหลังท่านทั้งนั้น ท่านยังรับคำว่า จะพาข้าพเจ้าไปพบมารตัวจริง เราก็นึกในใจว่า หากพระองค์พาไปได้จริง เราก็จะรบกับมารให้เด็ดขาดกันไปเลย จะได้จบฉากการรบเสียที เพราะรบมายาวนานเกิดความเบื่อหน่ายเหลือเกินแล้ว

 

ข้อสังเกตที่ทรงรับสั่งว่า ทรงเป็นองค์แรกนั้น คืออย่างไร ?

ขณะนี้ในนิพพานเป็น องค์ใดเป็นองค์แรก ? แต่องค์แรกถูกมารเอาตัวไป องค์ต่อไปขึ้นมาทำหน้าที่แทน จึงไม่ทราบว่าองค์แรกที่แท้ไปไหน ? ท่านจึงว่าท่านเป็นองค์แรก ความหมายคืออย่างนั้น คำถามจึงมีว่า พระองค์สืบรู้สืบญาณไปไม่ได้หรือ ? ตอบว่าทำแล้ว ก็รู้ได้เท่าที่รู้ เห็นได้เท่าที่เห็น จะพบเหตุการณ์อย่างนี้อีกหรือไม่ ? ยังตอบไม่ได้

การพบต้นนิพพานเป็นองค์ที่ ๔ และพบองค์ที่ ๕ ถือว่าเป็นโชค ๒ ชั้น

 

                ที่ว่าเป็นโชค ๒ ชั้น คืออย่างไร ? จะเล่าให้ทราบดังนี้

                วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ นอกจากเราจะโชคดีได้พบ ต้นนิพพานเป็นองค์ที่ ๔ แล้ว ยังพบโชคอีกชั้นหนึ่งคือพบ บ่อน้ำใส ใสเป็นตาตั๊กแตน นี่คือบ่อบุญ เป็นดวงบุญที่มารระเบิดมาจากธรรมภาคขาวตั้งแต่ครั้งใด ? มารเขาเอาเก็บไว้ตรงนี้ เราก็เอากลับคืนมา ไม่ทราบว่าทำวิชาเผลอไปอย่างไร ? ในเหตุการณ์ตรงนี้ ข้าพเจ้าเผลอหลับไปหน่อยหนึ่ง ฝันไปว่าเอาขันตักน้ำนี้มากิน ปรากฏว่ามันชื่นใจจริง ๆ พอเราตื่นจากหลับ ก็รีบเดินวิชาเอาดวงบุญของภาคขาวกลับทันที

                วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ นอกจากจะพบต้นนิพพานเป็นองค์ที่ ๕แล้ว ยังพบโชคอีกชั้นหนึ่ง คือ ได้พบ ดวงแก้วกายสิทธิ์ดวงโต เป็นกองโตใหญ่มาก นี่คือดวงแก้วกายสิทธิ์ที่สำเร็จทั้งดวง หมายความว่า มารเขากวาดต้อนเอามาเก็บไว้ตรงนี้ กายภายในดวงแก้วหมดฤทธิ์ เพราะมารเขาทำวิชาบังคับ เรารีบเข้าแก้ไขทางวิชา ให้กายของพระองค์พ้นจากการผูกมัด เมื่อกายของพระองค์มีกำลังแล้ว เราก็อาราธนากลับมาทั้งหมด

                ที่ว่าเป็นดวงแก้วกายสิทธิ์ที่สำเร็จทั้งดวง หมายความว่าไปไหนได้ทั้งดวง เหาะไปได้ทั้งดวงไม่ว่าจะไปไหน ! กายไปได้พร้อมกับเรือน คือดวงแก้วไปกับกายได้ด้วย อย่างนี้เรียกว่าสำเร็จอย่างแท้จริง แต่ก็แพ้มาร ซึ่งเราก็ได้เห็นข้อมูลแล้วในวันนี้ ว่ามารเขาสามารถมากวาดต้อนเอาไปได้ทั้งหมด เขาเอาไปแล้ว เอาไปบังคับให้อยู่ในปกครองของเขา เขาทำวิชาบังคับจนกายของพระองค์ไปไหนมาไหนไม่ได้ ดีแต่ว่าข้าพเจ้าไปพบเข้า หากข้าพเจ้าไม่พบ ถามว่าอะไรจะเกิดแก่พระองค์ ? แน่นอนที่สุด คือพระองค์จะถูกทรมานอยู่เช่นนั้น ถูกเขาทรมานมาแล้วนานแค่ไหน ? ไม่มีใครทราบทั้งนั้น

                ข้าพเจ้าทำวิชามาถึงเหตุการณ์ตรงนี้ ข้าพเจ้าได้แต่ถอนหายใจ หมดความหวังในทุกอย่าง จะไม่หมดหวังได้อย่างไร ? แม้พระพุทธเจ้านิพพานเป็น (สอุปาทิเสสนิพพาน) ระดับต้นธาตุต้นธรรม มีกายมนุษย์เหมือนอย่างเรานี้ มารเขายังมาอุ้มเอาไปได้ แล้วนิพพานกายธรรมคือ อนุปาทิเสสนิพพาน จะมีอะไรเหลือ ? เพราะมีแต่กายธรรม ไม่มีกายมนุษย์รองรับ จึงเป็นอาหารอันโอชะของมารอย่างสะดวกโยธิน  มารเขาจะเขมือบตอนใด? เขาก็ทำได้ทุกเวลา

                นี่คือเรื่องราวของอายตนะนิพพานฉากหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าได้รู้เห็นเข้า ข้าพเจ้าก็ถอนหายใจ

งานปราบมารดำเนินมาจนถึงเหตุการณ์ที่มารเอาต้นของนิพพานเป็นของภาคขาวไปได้ ท่านเกิดข้อคิดอะไร ?

                การจะวินิจฉัยอะไร ? และการจะเกิดข้อคิดอะไร ? จะต้องมีข้อมูลสนับสนุน บัดนี้ เราได้ข้อมูลชัดเจนแล้วว่าต้นนิพพานเป็นของเรา มารเขามาอุ้มเอาตัวไปแล้ว ต้นนิพพานเป็นองค์ปัจจุบันทุกวันนี้ เป็นองค์ที่ทำหน้าที่ปกครองแทน  องค์ต้นจริงๆ ของเรา มารเขามาอุ้มเอาตัวไปหมดแล้ว

                ก่อนจะวินิจฉัย ก่อนจะตีความ ต้องทบทวนความรู้ก่อนเสมอไป ความรู้นั้นคืออะไร ? ความรู้นั้นมีดังนี้

                ๑. มารปกครองอะไรบ้าง ? ตอบว่า มารปกครอง ๒ อย่าง คือ ปกครองอายตนะนิพพาน เรียกว่าปกครองใหญ่ และปกครองภพ ๓ คือ ปกครองอรูปพรหม ๔ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น และมนุษยโลก รวมทั้งจักรพรรดิและกายสิทธิ์ด้วย สรุปแล้ว มารเขาปกครองทั้งหมด มารมีฐานะเป็นผู้ปกครองใหญ่

                ๒. พระพุทธเจ้าตรัสรู้กี่ระดับ ? อะไรบ้าง ? ตอบว่าตรัสรู้ ๒ ระดับ คือระดับปกครองย่อย ได้แก่การมาตรัสรู้ในโลก และเมื่อได้มรรคผลนิพพานแล้ว จะต้องไปตรัสรู้ในระดับปกครองใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ ไปตรัสรู้ในอายตนะนิพพาน การตรัสรู้นั้นจะต้องตรัสรู้ทั้งหลักสูตรภาคโปรดและภาคปราบด้วย ความรู้ภาคโปรดคือความรู้สอนศาสนา และความรู้ภาคปราบคือความรู้ปราบมาร นั่นคือความรู้พิชัยสงคราม นั่นเอง

                ๓. พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ แปลว่านิพพานเป็นสุขยิ่ง พระพุทธเจ้าหรือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา

                คราวนี้ เราก็มาดูว่า งานปราบมารที่เราทำนี้ ได้ผลงานอะไรบ้าง ? ได้ข้อมูลอะไรบ้าง ? ข้อมูลนั้นคือตัวชี้วัด เมื่อเราได้หลักเช่นนี้แล้ว เราก็วินิจฉัยและตีความต่อไปได้

                จากนี้ไป เราก็วินิจฉัยและตีความได้ เรามีความจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะพระพุทธเจ้าหรือที่เราเรียกว่าพระรัตนตรัยนั้น เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง เป็นที่ระลึกถึงของมนุษย์ เป็นที่พึ่งของทิพย์พรหม และอรูปพรหมด้วย นี่คือความรู้ที่เราท่านรู้ตรงกัน

                เราจึงตีความได้ว่า มรรคผลนิพพานล่มสลาย พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสรู้ในระดับ ปกครองใหญ่ คงตรัสรู้ได้เฉพาะในระดับ ปกครองย่อย คือการตรัสรู้ในโลกเท่านั้น หลังจากที่พระองค์ได้มรรคผลนิพพานแล้ว คือได้เข้าอายตนะนิพพานไปแล้ว ไม่ได้ตรัสรู้อะไรอีกเลย เพราะมารเขาเข้ามาขัดขวางในทุกรูปแบบ เนื่องจากมารเขาเป็นผู้ปกครอง เขากดขี่ เขาข่มเหงรังแก เขาบดขยี้ เขาถล่มทลาย ในทุกรูปแบบ เขาห้ามไปหมด พระพุทธองค์ทำอะไรไม่ได้เลย

                หากท่านติดตามผลงานมาตั้งแต่ ปราบมารภาค ๑ ข้าพเจ้าเคยบรรยายว่า มารไม่ให้พระพุทธองค์ไปมาหาสู่กัน นิพพานใครก็ของใคร บ้านใคร ๆ อยู่ พระพุทธเจ้ารุ่นน้องจะไปหาพระพุทธเจ้ารุ่นพี่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าในปัจจุบันจะนิโรธไปหาพระพุทธเจ้าในอดีตไม่ได้ หากใครขัดคำสั่ง เขาก็ทำโทษนานาประการ เอาตัวไปใส่ไว้ในเหตุกักขัง เอาไปไว้ในเหตุกักกัน เอาไปไว้ในเหตุทรมาน เอาไปไว้ในแดนโทษแดนภัย เหตุทั้งปวงนั้น มารเขาใช้วิชาทำขึ้น สุดแต่เราจะเรียก อย่างในโลกเราก็เรียก แดนกักบริเวณ แดนเชลย เรือนจำ แดนกักขัง สุดแต่ใครจะเรียกอย่างไร ? สุดแต่ถ้อยคำที่ใช้ รวมความว่าเป็นแดนทรมานทั้งนั้น

                มารเขาทำโทษ ก็เหมือนเชือดคอไก่ให้ลิงดู ข่าวนี้ก็รู้กันไปทั่ว แต่เขาห้ามพูด ! จึงไม่มีใครกล้าละเมิด กลัวกันหมด กลัวมารเขาจะทำโทษ ข้าพเจ้าทำวิชามานานปี ขณะที่บรรยายวันนี้เป็นเวลาทำวิชาปราบมารปีที่ ๑๘ ตั้งข้อสังเกตเรื่อยมา ทำไมพระพุทธองค์ไม่บอกความรู้แก่เรา ?  ทำไมพระพุทธองค์ไม่พูดกับเรา ? ใช้เวลาสังเกตมานานปี จึงได้รู้อะไรมาทีละเล็กทีละน้อย รู้แบบระแคะระคายมาเรื่อยๆ

                เหตุการณ์เช่นนี้ เป็นมาแล้วตั้งแต่เมื่อไร ? ยาวนานแค่ไหน ? ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น นี่คือความรู้ที่ข้าพเจ้าได้รับ ยากลึกซึ้งอย่างนี้

ข้อมูลที่สนับสนุนว่ามรรคผลนิพพานล่มสลายคืออะไร ? เหตุใดพระพุทธเจ้าในปัจจุบันจึงยังทรงยืนยันว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ อยู่อีก ? มีเงื่อนงำอะไรหรือ ?

                เรากำลังตีความกัน ในประเด็นที่งานปราบมารมาถึงเหตุการณ์ที่พบว่า มารเอาพระพุทธเจ้านิพพานเป็นระดับ ต้นธาตุและระดับต้นนิพพานเป็น ไปกักกันและเอาไปทรมานถึง ๕ พระองค์ในเวลาติดต่อกันนั้น ทำให้เราตีความอย่างไร ? เราตีความว่านิพพานล่มสลาย และข้อมูลใน ปราบมารภาค ๔ ได้รายงานไปแล้วว่า พระพุทธเจ้านิพพานเป็นที่ถูกมารเอาตัวไปกักกันมีจำนวนถึง ๔ อสงไขย โดยต้นนิพพานเป็นทรงบอกจำนวนนี่คือข้อมูลหนึ่ง ส่วนนิพพานกายธรรมหรือที่เรียกว่านิพพานถอดกายหรือเรียกอีกชื่อว่านิพพานตาย มีพระพุทธเจ้าที่ถูกมารเอาตัวไปจำนวนมากมาย คำว่ามากมายนั้น ไม่ได้ทำตัวเลขไว้เพราะมากมายเหลือเกิน  และจักรพรรดิของภาคขาวที่มารเขาเอาไปทำโทษ เอาไปกักกัน มีจำนวนมากมายเช่นเดียวกัน รายงานไปแล้วในเล่มปราบมารภาค ๔ ความมากมายนั้นข้าพเจ้าเบื่อที่จะทำตัวเลข เพราะว่ามากมายเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะทำตัวเลข

                นี่คือ ข้อมูลที่บ่งชัดว่ามรรคผลนิพพานล่มสลาย

                ในประการต่อมา เหตุใดพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน คือพระพุทธเจ้าที่ลงมาเกิดทำหน้าที่ตรัสรู้ในโลกเป็นลำดับมา ทรงยืนยันว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ อยู่อีก ? ไม่ทรงทราบหรือว่านิพพานของเราขณะนี้ มีปัญหาถูกมารคุกคามอย่างหนัก ไม่เห็นกล่าวอะไรไว้ในพระไตรปิฎกเลย ?

                นี่คือ ประเด็นที่ท่านทั้งปวงข้องใจ อยากให้ข้าพเจ้าพูดชี้แจงให้ชัดเจน

                ความจริงก็ชี้แจงไปชัดเจนแล้ว ว่านิพพานเป็นสุขจริงถ้ามารไม่มายึดอำนาจปกครอง เป็นเพราะมารเขามายึดอำนาจ นิพพานจึงล่มสลาย  กรณีที่พระพุทธเจ้าในปัจจุบันที่กำลังตรัสรู้อยู่ในโลก เข้านิโรธไปหาพระพุทธเจ้าในนิพพานนั้น เหตุใดไม่ทรงทราบเรื่องราวเหตุการณ์ในนิพพานเลยหรือ ? ไม่เห็นมีกล่าวอะไรไว้ในพระไตรปิฎกเลย อ่านความรู้ที่ใดก็พบแต่ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ทั้งนั้น

                ข้าพเจ้าก็บรรยายไว้ในเล่มปราบมารภาค ๔ แล้วว่า การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและการกำหนดอายุขัยของพระพุทธเจ้า ย่อมเป็นไปตามที่มารเขาบัญญัติ การตรัสรู้นั้น กระทำได้แต่ต้องเป็นหลักสูตรที่มารเขาบัญญัติ และอายุของพระพุทธเจ้าจะอยู่ในโลกได้กี่ปี ? มารเขาเป็นผู้กำหนด มารเขาไม่ให้อยู่นาน ยิ่งสิ้นพระชนม์ได้เร็วยิ่งเป็นการดี พระพุทธองค์ก็อยากอยู่ในโลกนานๆ เพื่อทำงานเผยแพร่ศาสนาทุกพระองค์ แต่อยู่ไม่ได้ต้องเจ็บไข้แล้วก็สิ้นพระชนม์ไปในที่สุด การที่เราต้องเจ็บไข้นั้นเกิดจากการบังคับของดวงทุกข์และดวงสมุทัย เป็นวิชาปกครองของมารที่เขาใช้บังคับเรา ไม่ว่าใครก็ต้องตายทั้งนั้น วิชาของมารเขามีอานุภาพปานนั้น  ความรู้ของพระพุทธองค์สู้ความรู้ของมารเขาไม่ได้ นั่นเอง

                กรณีที่พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน คือองค์ที่กำลังทำหน้าที่ตรัสรู้อยู่ในโลก เข้านิโรธไปหาพระพุทธเจ้าในอดีต คือไปหาพระพุทธเจ้าในนิพพาน  ไปศึกษาหาความรู้  เพื่อให้แจ้งแห่งการตรัสรู้นั้น กระทำได้เท่าที่มารเขาอนุญาตเท่านั้น อะไรที่มารเขาห้าม? พระพุทธเจ้าในอดีตก็พูดไม่ได้ บอกไม่ได้ ! ตรงนี้เองทำให้เกิดการเข้าใจไขว้เขวกันหมด เพราะพระพุทธเจ้าในอดีตกลัวถูกมารเขาทำโทษด้วยกันทั้งนั้น ทำให้พระพุทธเจ้ารุ่นน้องไม่รู้ความจริงที่แท้

                พวกเราเป็นมนุษย์อยู่ในโลก ไม่รู้เรื่องของนิพพานเลย ต่างก็ว่านิพพานเป็นสุขแล้ว แต่แรกข้าพเจ้าก็เข้าใจเช่นนั้น แต่พอข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารไปนานปีไปรู้เห็นเข้า จึงรู้ว่าที่เราได้ยินได้ฟังมานั้นไม่ถูกต้องเสียแล้ว มาเห็นพระพุทธองค์ถูกทำโทษ มาเห็นจักรพรรดิถูกมารทำโทษ ข้าพเจ้าเสียใจมาก ! แต่ก็พูดกับใครไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้เห็นด้วย ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้คนเดียว แม้บุตรและภรรยาของเรา ก็พูดให้เขาฟังไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้เห็นเหมือนอย่างเรา แม้แต่ท่านที่เป็นธรรมกายด้วยกัน เขาก็ไม่รู้อะไร? ข้าพเจ้าจะเอาเรื่องราวไปพูดกับเขาก็ทำไม่ได้ วันคืนล่วงไป ข้าพเจ้าจ้องแต่ทำวิชาปราบมาร ให้มารดับให้หมด เพื่อพระพุทธองค์จะได้เป็นสุข  เพื่อจักรพรรดิจะได้เป็นสุข  ไม่ได้ทำมาหากินอะไร? จ้องแต่ทำวิชาปราบมารสถานเดียว นี่คือหน้าที่ของข้าพเจ้า

                ข้าพเจ้าพูดได้คำเดียวว่า ข้าพเจ้าเสียใจมาก ! เมื่อทราบว่าพระพุทธองค์สู้มารไม่ได้ บัดนี้ ข้าพเจ้าได้รู้เห็นแล้วตามเรื่องราวที่นำมาเสนอแล้ว เป็นหนังสือปราบมารออกสู่ตลาดแล้ว ๔ ภาค คือ ปราบมารภาค ๑-๒-๓-๔ เล่มที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้เป็น ปราบมารภาค ๕ ทุกเล่มล้วนแต่มีเนื้อหาสาระสำคัญทั้งนั้น หนังสืออย่างนี้เกิดขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก เป็นบุญวาสนาของชาวโลกที่ได้อ่านเรื่องราวลึกซึ้งอย่างนี้  ความรู้ลึกลับ ความรู้ลี้ลับ ความรู้เร้นลับ เช่นนี้ ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกในโลกแล้ว ขอเชิญท่านติดตามอ่านให้ครบทุกเล่มเถิด แล้วท่านจะขอบคุณตัวเอง ว่าเรามีวาสนาบารมีที่ได้รู้เรื่องเช่นนี้ ใครมีวาสนาบารมี ? ก็จะได้อ่าน !

เมื่อพระพุทธองค์นิพพานเป็นสู้มารไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างไร ?

                พระพุทธองค์นิพพานเป็น (สอุปาทิเสสนิพพาน) สู้มารไม่ได้ เรามีข้อมูลนำเสนอแล้ว แม้พระพุทธเจ้าระดับผู้ปกครองและต้นของนิพพานเป็น มารเขายังมาอุ้มเอาตัวไปได้ ตามข้อมูลที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงจำนวนพระพุทธเจ้าของนิพพานเป็น ที่มารเอาตัวไปกักกันและเอาไปทำโทษ ต้นนิพพานเป็นองค์ปัจจุบัน เคยสรุปตัวเลขให้ทราบว่า มีถึง ๔ อสงไขยตามที่ได้กล่าวไว้ในเล่มปราบมารภาค ๔ นั้น เป็นข้อมูลบ่งชัดว่า พระพุทธองค์นิพพานเป็นสู้มารไม่ได้ แล้วนิพพานกายธรรมจะไปมีอะไรเหลือ เพราะนิพพานเป็นเป็นกายมนุษย์เหมือนกายมนุษย์อย่างเรานี้ มีความแข็งแรงทนทาน เป็นฐานรองรับให้กายธรรมที่ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์นั้นเป็นอย่างดีทีเดียว เป็นเพราะเหตุใดหรือจึงสู้มารไม่ได้ ?

                นี่คือประเด็นสำคัญ ที่ข้าพเจ้ายังตอบไม่ได้ ขอเวลาให้ข้าพเจ้าทำวิชาไปอีกระยะหนึ่งก่อน วันนี้ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้

                ก็เมื่อนิพพานเป็นสู้มารไม่ได้  แล้วนิพพานกายธรรม (อนุปาทิ-เสสนิพพาน) ซึ่งมีแต่กายธรรมไม่มีกายมนุษย์ ด้วยกายมนุษย์ตายไปแล้ว เหลือแต่กายธรรมเท่านั้น ย่อมมีความเปราะบาง จึงสู้มารไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ประเด็นนี้เราไม่ข้องใจ ไม่ต้องบรรยายกันอีกแล้ว

                ดังนั้น จึงขอสรุปตรงนี้ว่า มรรคผลนิพพานของธรรมภาคขาวล่มสลายอย่างสิ้นเชิง ถามว่าการล่มสลายของมรรคผลนิพพาน มีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างไร ? ตอบว่าผลกระทบมีมาก เพราะพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก เป็นสรณะเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึกถึงของมนุษย์  ดังที่เราได้ยินพระสงฆ์ท่านกล่าวว่า พระรัตนตรัยหมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะของเรา ทั้งยังได้ยินพระสงฆ์ท่านสวดมนต์เป็นภาษาบาลี ดังนี้

                - นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ เม สรณํ วรํ

                (แปลว่า สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่ง ไม่ใช่ที่ระลึกถึง พุทธรัตนะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา)

                - นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ ธมฺโม เม สรณํ วรํ

                (แปลว่า สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่ง ไม่ใช่ที่ระลึกถึง ธรรมรัตนะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา)

                - นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ

                (แปลว่า สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่ง ไม่ใช่ที่ระลึกถึง สังฆรัตนะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา)

                บัดนี้ จากการปราบมารที่ข้าพเจ้าทำวิชามาพบว่า พระพุทธ-องค์ของเราแพ้มารอย่างสิ้นเชิง แปลว่าที่พึ่งของเรามีอันตราย ทำให้พระองค์มาช่วยเราได้ยาก ส่งผลให้มนุษย์คือพวกเราเดือดร้อนกันทั่วไป เดือดร้อนกันทั้งโลก

                ขอให้เราทราบความจริงกันตั้งแต่วันนี้ หน้าที่ของข้าพเจ้าคือทำวิชาปราบมารต่อไป ให้พระพุทธองค์ของภาคขาวทั้งปวงชนะมารให้จงได้ เมื่อพระพุทธองค์เป็นอิสระมีเสรีภาพแล้ว พระองค์ก็จะมาช่วยกำจัดทุกข์ กำจัดภัย กำจัดโรค ให้แก่มนุษย์ต่อไป

                งานปราบมารมาถึงวันนี้ ได้ผลงานมากแล้ว สถานภาพของนิพพานเข้าสู่ภาวะเกือบปกติแล้ว ใกล้ถึงเป้าหมาย นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ แล้ว ขอจบเรื่องราวของการพบธาตุธรรมผู้ใหญ่ของนิพพานเป็นจำนวน ๕ พระองค์ ที่มารมาอุ้มตัวไปไว้เพียงนี้ เพราะได้บรรยายความเป็นไปความเป็นมาพอสมควรแล้ว จากนี้ไป จะได้นำผลงานอื่นมาเสนอต่อไป

ผลงานสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือพบภูเขาบุญใหญ่มหาศาลเหมือนภูเขาอัญมณีขาวยังไม่เคยเห็นทะเลบุญใดใหญ่โตเท่ารายการนี้เป็นของใครตั้งแต่สมัยใดไม่ทราบ !

                (บันทึกเล่ม ๒๔ หน้า ๑๒๖) เป็นผลงานที่น่าปลื้มใจ ดูบันทึกแล้วปรากฏว่าการเดินวิชาไม่ราบรื่น  กว่าวิชาจะไปได้แต่ละจุด ยากเย็นไปหมด ขลุกขลักไปหมด นั่นคือเรามาพบเหตุ คุ้มกันของมาร ที่เขาทำขัดขวางไว้ เหมือนกับเราจะเข้าเอาเงินในกำปั่นหลวง ไม่ใช่จะถึงกำปั่นในทันที เราจะต้องผ่านห้องมั่นคงหลายด่าน นั่นเอง เรื่องนี้ถือเป็นตำราได้ ถ้าเดินวิชาขลุกขลักแล้ว ข้างหน้าเราจะต้องพบอะไรดีๆ เสมอ นี่คือประสบการณ์ที่เดินวิชาปราบมารมานานปี เป็นข้อสังเกตที่เราทำข้อมูลไว้ เป็นความรู้ที่มีคุณค่าสูงสุด

                ในที่สุดก็มาถึงเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิด เราคิดไม่ถึงว่าเราจะได้มาพบของวิเศษ ของวิเศษนั้นคืออะไร ? ก็คือภูเขาบารมีเป็นรัตนชาติสีขาว ใหญ่โตมหาศาล กว่าเราจะเอากลับมาได้ ทำวิชากันเหนื่อย ต้นปราบกับตรีภพ ท่านเก็บรักษาไว้ ไม่ทราบว่าเป็นบารมีของใคร ? เพราะธาตุธรรมท่านไม่ได้บอกเราจึงไม่รู้ แต่ต้องเป็นบารมีสำคัญของโพธิสัตว์ใดตั้งแต่ครั้งใดเป็นแน่แท้ เมื่อท่านเหล่านั้นสร้างบารมี พระพุทธองค์ก็ให้บารมี แต่ท่านเหล่านั้นเก็บรักษาไม่ได้ เพราะมารมาปล้นเอาไป

                ก่อนที่จะมาพบภูเขาบารมีรัตนชาติ ได้พบแผนผัง ๒ แผนผัง คือแผนผังที่ ๑ เป็นแผนผังที่มารเขาสร้างแผนผังจะให้ข้าพเจ้าตาย เห็นเป็นโลงศพดำ เราก็รู้ว่ามารเขาสร้างแผนผังจะให้ข้าพเจ้าตาย อีกแผนผังหนึ่ง เห็นลูกกับแม่จะแตกแยกกัน ระลึกรู้ขึ้นว่า เราเคยได้ยินหลวงพ่อท่านเคยพูดคำนี้ คือคำว่า แผนผัง เราก็เอารู้ญาณของเราจรดนิ่งลงไปที่นิมิตนั้น  บังคับอย่าให้ส่าย  แล้วหมุนขวา บังคับให้เข้าสิบเข้าศูนย์เจ้าของแผนผัง ลำดับกายของเขาไปให้ถึงสุดกายละเอียด แล้วดับกายของเขาให้หมดทุกกาย  แล้วก็ดับแผนผัง คือนิมิตที่เราเห็นนั้นด้วย ให้ละลายไปถึงเหตุสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษต่อไป

                เคยพูดไว้ว่า ทำบุญให้มารกิน ทำเงินเดือนให้โจรใช้ ก็คืออย่างที่บรรยายมานี้ เราสร้างบารมี แต่มารเขามาโกงบารมีของเราไป เอาไปเก็บไว้ในเหตุละเอียด เอาไปซ่อนไว้ เอาไปเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ดังที่เราได้มาพบในวันนี้ โดยที่เราไม่รู้ไม่เห็นว่ามารเขามาระเบิดเอาไปได้อย่างไร ? เขามาเอาไปเป็นของเขาแต่เมื่อใด ? เราไม่รู้เรื่องเลย เป็นเรื่องน่าหนักใจมาก เรื่องยากอย่างนี้ เรื่องลึกซึ้งปานนี้ เกินปัญญาที่เราจะได้รู้ได้เห็น จึงเป็นโชคดีที่เราได้มารู้เห็น                    มีหลายท่านถามข้าพเจ้าเสมอ ว่าจะมีความรู้อะไรที่จะสามารถรักษาดวงบารมีของตนได้ ?

                ข้าพเจ้ายังตอบไม่ได้จนวันนี้ เพียงแต่ปรารภความรู้คุยสู่กันฟังเท่าที่ได้เท่านั้น เพราะข้าพเจ้าก็ยังไม่แจ้งชัด

                เพราะเราทราบตรงกันว่า มารเขาปกครองทั้งหมด เขาปกครองทั้งนิพพานและภพ ๓ นั่นคือ มารเขาปกครองพระพุทธองค์ในนิพพานทั้งหมด และยังปกครองมนุษยโลกคือพวกเรานี้ด้วย แปลว่ามารเขามีอำนาจเหนืออะไรทั้งปวง เขาจึงมาระเบิดเอาบารมีไปจากพวกเราได้

                วิธีแก้แบบรวบยอด ก็คือปราบมารสถานเดียว เมื่อหมดมารแล้ว พวกเราก็ปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง อย่างผลงานที่นำมาเสนอนี้ เป็นภูเขาบุญรัตนชาติ ของใคร ? แต่สมัยใด ? ไม่มีใครรู้ ! แม้ธาตุธรรมก็ไม่อาจบอกเราได้ ดังที่ได้บรรยายมาแล้วนั้น แปลว่ามารหมดลงอย่างมากแล้ว และเราก็ตามเอาบารมีเหล่านั้นกลับคืนมาได้ นี่คืออานิสงส์ของงานปราบมารที่ข้าพเจ้าทำอยู่ในขณะนี้ เป็นวิธีแก้แบบรวบยอด  ถ้าเราไม่ทำวิชาปราบมาร  เราก็แก้อะไรไม่ได้เลย มีแต่แพ้สถานเดียว

                แต่การปราบมารนั้น ต้องใช้วิชาธรรมกายชั้นสูงเท่านั้น ถ้าวิชายังอ่อนอยู่ ก็สู้เขาไม่ได้ ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า ในโลกเรานี้มีประชากรหกพันล้านคน ถ้ามีเพียงหนึ่งคนที่ปราบมารได้ โลกนี้ก็น่าอยู่น่าอาศัย มีหลายท่านถามข้าพเจ้าว่า ทำไมข้าพเจ้าพูดอย่างนั้น ? ที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนั้นก็เพราะว่า คนมีความรู้ปราบมารได้ หาที่ใดไม่ได้อีกแล้ว ! เมื่อโลกนี้หาคนปราบมารได้เพียงหนึ่งคน ข้าพเจ้าจึงว่าโลกนี้น่าอยู่น่าอาศัยแล้ว

                ต้องจำไว้ว่า เงินทองนั้นเราหาได้ อำนาจราชศักดิ์เราหาได้ สาวงามเราหาได้ และหาได้ทุกๆ อย่างบรรดามีที่มีในโลก สิ่งเดียวที่เราหาไม่ได้คือ คนมีความรู้ที่จะปราบมารได้

                ดังนั้น ความรู้ปราบมารจึงเป็นความรู้ที่สูงค่า

                ความรู้อย่างนี้ ไม่เคยปรากฏในโลกมาก่อน ข้าพเจ้าจึงเพียรพยายามรายงานความรู้ปราบมารไว้ให้ปรากฏแก่โลกเพื่อรอรับโพธิสัตว์ที่จะลงมาเกิด เมื่อโพธิสัตว์ระดับนั้นลงมาเกิด ท่านจะรู้คุณค่า จะได้เป็นแนวทางให้ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนต่อไป เพื่อให้งานปราบมารมีการสืบเนื่องไม่สูญไปจากโลก เพราะพระพุทธองค์ก็จะต้องส่งคนของท่านลงมาเกิด  เพื่อให้มาสืบสานงาน หากไม่ปราบมาร ไม่ว่าที่ใดเดือดร้อนกันหมด นิพพานก็เดือดร้อนและมนุษย์ก็เดือดร้อน

                หากไม่ทำตำราไว้เพียงอย่างเดียว ทุกอย่างล้มเหลวทั้งหมด ตำราจึงสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น

                ขอจบผลงานภูเขาบุญรัตนชาติเพียงนี้ ต่อไปเป็นผลงานอะไร ? โปรดติดตาม  (จบบันทึกท้ายเล่ม ๒๔  ต่อไปนี้เป็นผลงานบันทึกเล่มที่ ๒๕)

ต้นนิพพานเป็นทรงกล่าวถึงงานปราบมารที่มีมาแล้วในอดีต ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ?

                เป็นโชคของเราอย่างยิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง เพราะเราไม่ทราบเรื่องลึกซึ้งเช่นนี้ หมดหนทางที่เราจะรู้จะทราบ เป็นโชคมหาศาลที่เราได้ทราบ เรื่องราวมีดังนี้

                ทรงรับสั่งเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๒ (สมุดบันทึกเล่มที่ ๒๔ หน้า ๒๗) หากท่านติดตามหนังสือปราบมารภาคต่างๆ มาโดยตลอด ท่านจะทราบว่า ต้นนิพพานเป็น ทรงเป็นผู้ปกครองใหญ่ของนิพพานเป็น คือนิพพานกายมนุษย์ (ไม่มีเกตุบัวตูม) คือสอุปาทิเสสนิพพาน  เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์เหมือนกายพระสงฆ์ ทรงมีปกติที่จะกล่าวอะไรอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่กลัวใครโกรธ จะพาดพิงถึงใครบ้าง ? จะกระทบถึงใครบ้าง ? ไม่ต้องเกรงใจกัน ทรงรับสั่งอย่างตรงเป้า ถูกเป้าหมายใจความไปเลย นี่คือปกติของพระองค์ที่ข้าพเจ้าตั้งข้อสังเกตได้ ถ้าข้าพเจ้าอยากทราบอะไร ? ก็ต้องถามพระองค์ พระองค์จะทรงบอกอย่างตรงไปตรงมา หากอยู่ในขอบข่ายที่จะทรงบอกได้ เว้นแต่เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเท่านั้น

                เนื้อหาสาระที่ทรงรับสั่งคืออะไร ? ทรงกล่าวว่า การปราบมารมีมาแล้วนับยุคนับสมัยไม่ถ้วน พระองค์ไม่ทรงยอมรับ แต่ทรงยอมรับคือการรบในยุคของศึกษาฯคนนี้  ทั้งนี้เป็นเพราะ ต้นปราบ ท่านมาเป็นแม่ทัพให้ มี ตรีภพ และ หยกชมพู เป็นกระบี่ซ้ายขวาให้ นั่นเอง ฝีมือของข้าพเจ้าเองจะมีน้ำยาอะไร ? ทรงให้กำลังใจข้าพเจ้า จักรพรรดิท่านมารวมตัวกันสู้ ทำให้ปราบมารได้ผลมาก

                จากรับสั่งของพระองค์ ทำให้เราทราบอะไรบ้าง ? ทำให้เราทราบว่า งานปราบมารในอดีตมีมาแล้วมากมาย แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ถามว่ามียุคใดบ้างสมัยใดบ้าง ? บอกให้ทราบบ้าง บรรยายให้ทราบบ้าง ในรายละเอียดทั้งปวงของเรื่องราว ตอบว่า เรื่องรายละเอียดนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบเลย  ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมาแค่นี้ ก็บอกได้แค่นี้

หลวงพ่อพูดถึงงานปราบมารที่แล้วมาในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ แต่การปราบในยุคของ ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู ได้ผลมากเกินคาดหมาย

                กายธรรมของหลวงพ่อรับสั่งเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๓ (สมุดบันทึกเล่มที่ ๒๕ หน้า ๑๓๘) ข้าพเจ้าได้ยินก็เกิดการตกใจ เพราะหลวงพ่อไม่เคยปรารภถึงเรื่องประวัติการปราบมารเลยว่าตั้งแต่อดีตมีความเป็นมาอย่างไร ? มีมาแล้วกี่ยุคกี่สมัย ? ใครปราบมารบ้าง ? เราไม่ทราบเลย เราทราบแต่ในยุคของหลวงพ่อเท่านั้น ดังที่เคยเสนอเรื่องราวไปแล้วในเล่มปราบมารภาคอื่น ๆ ครั้นมาถึงวันนี้ หลวงพ่อท่านกล่าวถึงประวัติการปราบมารว่า ในอดีตมีมาแล้วหลายยุค แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพิ่งเข้าตากรรมการก็คือปราบมารในยุคของต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู กายธรรมของท่านกล่าวอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็เลยมีผลพลอยได้ไปด้วย ได้รับคำยกย่องไปด้วย นี่คือ กำลังใจที่ธาตุธรรมท่านให้แก่ผู้ทำงานสุดยากเย็นแสนเข็ญ

                แต่เนื้อหาสาระของเรื่องอยู่ที่ว่า ในอดีตมีการปราบมารกันมาแล้วอย่างไร ? นี่คือประเด็นของเรื่อง เราก็ทราบว่าตั้งแต่อดีตมางานปราบมารมีมาแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพิ่งจะมาได้เรื่องได้งานก็คือยุคของต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู นี่เอง

                สรุปว่า เนื้อหาของความรู้ตรงกัน เราเคยได้ยินต้นนิพพานเป็นทรงรับสั่งมาแล้ว ต่อมาก็ได้ยินกายธรรมหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่งดังที่นำมารายงานให้ทราบนี้ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่มีใครรู้ไม่มีใครทราบทั้งนั้น จึงขอให้ช่วยกันจดจำไว้

ผลงานปราบมารในยุคของต้นปราบตรีภพ หยกชมพู มีอะไรบ้าง ?

                ผลงานปราบมารในยุคของต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู มีปรากฏชัดในหนังสือปราบมารภาคต่างๆพิมพ์ออกจำหน่ายแล้วรวม ๔ ภาค คือ หนังสือปราบมารภาค ๑-๒-๓-๔ เล่มที่ถืออยู่ในมือขณะนี้คือเล่ม ปราบมารภาค ๕

    เรามีหน้าที่ทำวิชา ผู้ประเมินผลงานคือธาตุธรรม (คำว่าธาตุธรรมก็คือผู้ปกครองใหญ่ในอายตนะนิพพาน ซึ่งทำหน้าที่ปกครองพระพุทธองค์ในอายตนะนิพพาน พูดให้เข้าใจง่าย ธาตุธรรมก็คือพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ปกครองระดับสูงสุด)

                เป็นภาระของเรา เป็นหน้าที่ของเรา เป็นงานประจำวันของเรา เป็นข้อบังคับตัวเรา ที่ต้องทำวิชาปราบมารทุกวัน ต้องวางภารกิจอื่นใดทั้งหมดในชีวิตของเราออกไปให้หมด ปล่อยวางงานอื่นใดทั้งหมดในชีวิตเรา ให้มีสภาพใจที่ว่างเปล่า เพื่อเอาความว่างเปล่าทางใจมาทำงานเดินวิชาปราบมาร ถ้าสภาพใจไม่ว่างเปล่า เราทำวิชาไม่ได้ ถ้ามีเรื่องขุ่นข้องใจ เราทำวิชาไม่ได้ ถ้ามีเรื่องกระทบกระทั่งใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ? เราทำวิชาไม่ได้ทั้งนั้น สภาพใจของเราจะต้องโล่งโปร่งใสตลอดวัน จึงจะทำวิชาได้ สรุปแล้วตลอดชีวิตของเรา ต้องมีสภาพใจที่โล่งโปร่งใสตลอด เราจึงจะทำวิชาได้ หากวันใดมีปากเสียงกับลูกเมีย วันนั้นเราจะทำวิชาไม่ได้ การทำวิชาไม่ได้เพียงแค่วันเดียว จะเป็นผลร้ายสูงสุดทีเดียว กว่าวิชาจะเข้าที่ กว่าสภาพใจจะคืนสู่สภาพเดิม ใช้เวลาแก้ไขจิตใจหลายวัน ต้องใช้เวลาอบรมจิตใจตัวเองหลายวัน และกว่าที่เราจะเดินวิชาได้เป็นปกติ ต้องใช้เวลาทบทวนวิชานานวันกว่าที่วิชาจะลงตัว ไม่ใช่งานที่จะทำได้ง่ายเลย

                ชีวิตของข้าพเจ้าเหมือนมีกรรมตลอดชีวิต ที่ต้องกำกับตัวเองให้อยู่ในข้อบังคับตลอดชีวิต ไปเที่ยวก็ไม่ได้ ไปงานสังคมก็ไม่ได้ ไปทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไปทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ด้วย เพราะใจจะฟุ้งไปอีก ทำวิชาไม่ได้อีก เพราะเอาใจไปคิดเรื่องกำไรขาดทุน จะส่งผลให้ทำวิชาไม่ได้ เป็นอันตรายต่อการทำวิชาทั้งนั้น

                ตลอดชีวิตราชการของข้าพเจ้า เราหวังอะไรจากทางราชการไม่ได้เลย เงินเดือนก็ดี ตำแหน่งหน้าที่ราชการก็ดี ความดีความชอบก็ดี ต้องปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของธรรมชาติ ได้ก็เอา ไม่ได้ก็แล้วไป หากไปหวังอะไรเข้า จะเกิดการกระทบทางจิตใจทันที ส่งผลให้ทำวิชาไม่ได้ งานปราบมารชะงักลงทันที ต้องตั้งต้นกันใหม่ ต้องมาฝึกวิชาเบื้องต้นกันใหม่ กว่าที่วิชาจะเลื่อนระดับสูงได้ ต้องใช้เวลายาวนาน

                ทั้งยังต้องเตรียมสภาพใจ รอรับการตอบโต้ของมารด้วยเรื่องราวต่างๆ ในสารพัดรูปแบบ เพราะมารเขาก็ต้องหาเรื่องกระทบจิตใจให้แก่เรา เพื่อให้เราแพ้เขาให้จงได้ อะไรที่เราจะทุกข์ร้อนได้ มารเขาจะทำสิ่งนั้นแก่เรา อะไรที่จะทำให้เราตายได้ มารเขาจะเลือกทางนั้น เขาจะทำเช่นนั้นแก่เรา ชีวิตของข้าพเจ้าได้รับความชอกช้ำมาแล้วสารพัดรูปแบบ อดทนทำวิชาปราบมารมาได้ถึงวันนี้ นับว่ามีความอดทนมาอย่างโชกเลือดทีเดียว ที่ต้องขอบคุณอย่างมากคือลูกเมีย  ที่เขาไม่ได้ไล่ข้าพเจ้าออกไปจากบ้าน วันหนึ่งเอาแต่นั่งหลับตา ไม่ไปทำมาหากินอะไรให้เกิดความร่ำรวยขึ้นมาเหมือนชาวบ้านอื่นเขา คนอื่นเขามีแต่คิดก้าวหน้า เขาคิดแต่จะให้มีเงินมีทอง แต่ข้าพเจ้าเอาแต่นั่งหลับตาสถานเดียว ต้องขอบคุณลูกเมียที่เขาไม่รังเกียจเรา มีกินมีใช้แค่นี้ ก็อยู่กันไปได้

                งานทำวิชาปราบมารไม่ใช่มีความรู้วิชาธรรมกายชั้นสูงแล้วจะทำได้ ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ถ้าบวชเป็นพระแล้ว ก็ยิ่งทำไม่ได้เลยทีเดียว เพราะอะไรหรือ ? เพราะวินัยสงฆ์จะเป็นเครื่องมือสำคัญของมาร ที่มารเขาจะสอดละเอียดมาให้เราผิดวินัยด้วยวิธีง่ายๆ แล้วงานปราบมารก็จะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า มารเขาชนะมาแล้ว แล้วเขาก็จะชนะต่อไป การเป็นฆราวาสดีอยู่อย่างหนึ่ง ที่มารจะเอาศีลหรือวินัยมาอ้างกับเรา เอาอะไรมาอ้างกับเราไม่ได้ทั้งนั้น เมื่อเขาเอาวิธีนี้ไม่ได้ เขาก็ต้องดูอย่างอื่น ว่าอะไรบ้างที่เขาจะเอามาถล่มเราได้ อะไรที่เขาจะเอามาเล่นงานเราได้  มารมันเอาทั้งนั้น เราจะตั้งรับไม่ทันทีเดียว หมดปัญหานี้ขึ้นปัญหาใหม่ จบเรื่องนี้ขึ้นเรื่องใหม่ จะให้เราถอดใจไม่สู้ไปเอง อะไรก็ได้ที่จะให้เราวินาศ มารมันจะใช้วิธีนั้น หน้าที่ของเราคือระวังไว้ ระวังได้ไหม ? ถ้าระวังได้ก็รอดตัว หากพลาดไปก็เป็นเหยื่อของมารไป อดทนได้ไหม ? ถ้าอดทนได้ ก็อดทนกันไป

                ฉะนั้น จะเห็นว่า คนที่จะปราบมารได้ หาตัวไม่ได้ ใครเล่าจะอาสา ? คนที่ใจสู้ แต่ความรู้จะขาด คนที่มีความรู้แต่จะขาดคุณสมบัติข้ออื่นเสมอ ข้าพเจ้าจำใจสู้เพราะถูกธาตุธรรมท่านบังคับ ดังที่ท่านได้เรียนรู้มาแล้วในหนังสือปราบมารเล่มต่างๆ นั้น ข้าพเจ้าก็พูดเปิดใจแล้ว ว่าปราบมารไม่ใช่งานที่ทำง่าย

                ข้าพเจ้าก็พูดเปิดใจแล้ว การที่ข้าพเจ้าถูกจับตัวให้ปราบมารนั้น เหมือนหนึ่งมีกรรมไปตลอดชีวิต หมายความว่า ชีวิตนี้ไปทำอะไรไม่ได้เลย ต้องนั่งหลับตาเดินวิชารบอย่างเดียว จะเอาใจไปจับอยู่กับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเอาใจจับอยู่ผูกอยู่กับวิชาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ต้องฟิตซ้อมร่างกายเหมือนนักมวยซ้อมก่อนขึ้นชก ถ้าร่างกายไม่ดี จิตใจก็ไม่ดีไปด้วย ส่งผลให้การทำวิชาขาดกำลังไปด้วย ต้องรักษาอารมณ์ให้แจ่มใสไว้เสมอ หากอารมณ์ขุ่นไม่ว่าจะโดยเหตุใด มีผลกระทบต่องานเดินวิชาทั้งนั้น สรุปแล้ว ชีวิตนี้ทำอะไรไม่ได้ จ้องแต่จะนั่งหลับตาสถานเดียว นี่คือกฎเกณฑ์ของการทำวิชาปราบมาร ถามว่า ตามกฎเกณฑ์ที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ จะมีใครทำได้หรือไม่ ?

                ตอบทันทีว่า ไม่มีใครทำได้ หากพูดว่าทำได้เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว อย่างนั้นพอทำได้ คือทำเล่นโก้ ๆ แต่จะเอาเหตุเอาผลอะไรไม่ได้ จะเอาเนื้องานมาบอกเล่าอย่างที่ข้าพเจ้าทำอยู่นี้ไม่ได้ เรียกว่าทำแบบสมัครเล่น

                เหตุที่ตอบว่า  ไม่มีใครทำได้  ก็เพราะว่าทุกคนต้องทำมาหากิน ต้องเอาใจไปสัมผัสกับงานที่เราทำ ต้องเอาใจไปกระทบและสัมผัสกับเรื่องราวของชีวิต หากเราปล่อยวางได้ การเดินวิชาปราบมารก็ดำเนินไป หากเราปล่อยวางไม่ได้ จะส่งผลกระทบต่อการเดินวิชาทันที

                นี่คือความยากในการทำวิชาปราบมาร !

                หากเราได้ศึกษาถึงงานทำวิชาปราบมารในยุคของหลวงพ่อดูบ้าง เราจะได้ข้อคิดหลายอย่าง ควรที่ผู้เป็นบัณฑิตจะต้องศึกษาเล่าเรียนไว้ หากท่านไม่เรียนรู้ไว้ ท่านจะไม่ได้ข้อคิดอะไรเลย สุดท้าย เราลองประเมินผลงานออกมาว่างานปราบมารยุคนั้นได้ผลอย่างไรหรือไม่ ? มีอุปสรรคอะไร ? ควรจะแก้ไขอย่างไรหรือไม่ ? สมมุติว่าท่านเองมีหน้าที่ต้องทำวิชาปราบมารบ้าง ท่านจะวางแผนอย่างไร ? เพราะการทำงานจะต้องมีการวางแผนเสมอ

                ข้าพเจ้าบรรยายมาถึงตรงนี้แล้ว ขอกล่าวถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำ เพื่อเป็นการศึกษาวิเคราะห์เจาะลึก ถึงอย่างไรเราก็เรียนกันแล้ว ขอให้ท่านศึกษาค้นคว้าความรู้ให้จงได้ มีตำราอยู่ที่ใด ? ขอให้ท่านรวบรวมความรู้ไว้ให้หมด เพราะเป็นความรู้ประเสริฐเลิศล้น ไปเรียนที่ใดในโลก ไม่มีที่ไหนให้เรียนอีกแล้ว มีเรียนรู้ได้ในประเทศไทยของเราเท่านั้น

                ขอให้ท่านตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ จะตอบคำถามได้ ก็ต้องค้นคว้าจากตำรา ตำราเรียนนั้น ข้าพเจ้าทำไว้ครบทุกหลักสูตรแล้ว

คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ได้ จะค้นคว้าได้ในตำราเล่มใด ?

                ๑. หลวงพ่อวัดปากน้ำ มีคติธรรมสำคัญอะไรบ้าง ? ท่านเป็นพระสงฆ์สำคัญ ที่เห็นวิชาสำคัญ คติธรรมของหลวงพ่อมีมากมาย เราควรเรียนแบบอย่างไว้ (ค้นเล่ม คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ)

                ๒. หลวงพ่อวัดปากน้ำ ค้นพบวิชาสำคัญ ถึงกับยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ต่อมาหลวงพ่อฟื้นฟูการศึกษาของสงฆ์ได้สำเร็จ รับพระและสามเณรมาให้การศึกษาเป็นจำนวน ๑,๐๐๐ รูป และตั้งโรงครัวเลี้ยงพระและสามเณร ทำได้เป็นอัศจรรย์ หลวงพ่อทำไปได้อย่างไร ? (ค้นเล่ม อภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ)

                ๓. หลวงพ่อค้นคว้าวิชาสำคัญได้นั้น คือวิชาอะไร? (ค้นเล่ม ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือธรรมกาย)

                ๔. วิชาธรรมกายมีหลายหลักสูตร ทั้งหลักสูตรเบื้องต้น หลักสูตรระดับกลางและหลักสูตรยาก จะค้นคว้าได้จากตำราเล่มใดบ้าง ?

                (ก)           วิชาธรรมกายระดับกลาง (ค้นเล่ม แนวเดินวิชาหลักสูตร                                       คู่มือสมภาร ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ)

                (ข)           วิชาธรรมกายระดับยาก (ค้นเล่ม แนวเดินวิชาหลักสูตร                                                         วิชชามรรคผลพิสดาร ๑ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ)

                (ค)           วิชาธรรมกายระดับยากมาก (ค้นเล่ม แนวเดินวิชา                                                 หลักสูตรวิชชามรรคผลพิสดาร ๒ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ)

                ๕. วิชาธรรมกายระดับยากมาก คือหลักสูตรปราบมาร เป็นหลักสูตรพิเศษ ยากที่จะเรียนรู้ได้ ถามว่า จะค้นคว้าได้จากตำราเล่มใดบ้าง ? (ค้นได้จากตำราปราบมารทั้ง ๕ ภาค คือ ปราบมารภาค ๑-๒-๓-๔ และปราบมารภาค ๕)

                ๖. จะสร้างบารมีธรรม สอนนักเรียน นักศึกษา ให้เป็นธรรมกายอย่างน่าอัศจรรย์ จะทำอย่างไร? และจะค้นได้จากตำราเล่มใด?

                                ตอบ ต้องสอบเป็นอุปัชฌาย์ตามขบวนการ (ค้นจากเล่ม ทางรอดของมนุษย์ มีทางเดียวเท่านั้น ต้องท่องจำวิชาได้ แล้วไปสอบปากเปล่า ตามที่หัวหน้าสายวิทยากรเขาจัด คือไปสอบกับข้าพเจ้า นั่นเอง)

                                (ตอบ การจะเป็นวิทยากรที่สอนได้ผลเป็นอัศจรรย์ ค้นคว้าจากเล่ม วิธีสอนและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย หรือ เรียกสั้นๆ ว่า คู่มือวิปัสสนาจารย์)

                ๗. ตำราวิชาธรรมกายทุกหลักสูตร ทั้งหลักสูตรวิชาการ ทั้งหลักสูตรเบื้องต้น หลักสูตรระดับกลาง และวิชาธรรมกายชั้นสูง รวมทั้งหลักสูตรประเภทบันเทิงใจ โปรดติดต่อ สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง ถนนประชาอุทิศ ซอย ๔๕ แขวงบางมด เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ๑๐๑๔๐ โทร. (๐๒) ๘๗๒-๙๘๙๘, ๘๗๒-๕๙๗๕-๙ หรือสอบถามหาร้านผู้แทนในต่างจังหวัด เพื่อให้การติดต่อสอบถามเกิดความแน่นอน ควรโทร.สอบถามไปยังสำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง ว่าในต่างจังหวัดร้านค้าใดเป็นร้านผู้แทนจำหน่าย ?

วิชาธรรมกายเรียนยาก แต่ข้าพเจ้ามีคำแนะนำ วิธีเรียนที่ประสบความสำเร็จ

                ข้าพเจ้าค้นคว้าศึกษาเล่าเรียนมาตั้งแต่ต้นจวบจนวันนี้ ต้องถือว่าตลอดชีวิตแล้ว ได้สังเกตการเรียนของผู้มีบารมีธรรมในอดีต สังเกตการเรียนในสมัยของคนรุ่นข้าพเจ้าเอง และสังเกตการเรียนของคนในยุคหลัง ๆ จึงสรุปได้ว่า

                การเรียนวิชาธรรมกาย ไม่ง่ายเลย ! เรียนไป ๆ ความรู้จะเพี้ยนเอา ! ในที่สุดความรู้เหล่านั้นจะใช้การไม่ได้ เพราะผู้เรียนไม่เคยตรวจสอบความรู้กับตำราเลย ตั้งแต่อดีตมาแล้ว ผลสุดท้ายความรู้จะเพี้ยนทั้งนั้น น่าเสียใจมาก ! แต่ผู้เรียนก็อ้างว่าเรียนมาจากหลวงพ่ออย่างนั้น คำนี้ได้ยินรุ่นพี่พูดอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่เถียงในเหตุที่ได้ยิน แต่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว จะพบว่าการเรียนในสมัยนั้น หลวงพ่ออำนวยการให้ทั้งหมด ที่อยู่ที่พักหลวงพ่อจัดให้ทั้งหมด อาหารการกินหลวงพ่อก็จัดให้ วิชาความรู้หลวงพ่อก็เป็นผู้สอนเอง ได้เวลาเรียนแล้ว ใครขาดเรียนไม่ได้เลย ! หลวงพ่อจะไม่ยอมให้ใครขาดเรียนเด็ดขาด

                นี่คือการเข้มงวดกวดขันของหลวงพ่อ !

                แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อของเราตายไปแล้ว ไม่มีใครเข้มงวดกวดขัน ถามว่าการเรียนของพวกเรายังเคร่งครัดเหมือนยุคที่เรียนกับหลวงพ่อหรือไม่ ? ต้องตอบคำถามนี้ก่อน ต่อมาก็มาพิจารณาว่า ท่านสนใจในการศึกษาเล่าเรียนเพียงไร ? ถามว่า วิชาธรรมกายที่หลวงพ่อรวมความรู้ไว้เป็นตำรามีกี่เล่ม ? อะไรบ้าง ? ปรากฏว่าไม่มีใครตอบได้เลย คำถามต่อมาถามว่า ใครเคยเอาตำราวิชาธรรมกายที่หลวงพ่อรวมไว้เป็นตัวหนังสือมาอ่านทบทวนความรู้บ้าง ? ปรากฏว่า ไม่มีใครทบทวนความรู้กับตำราเลย ! เรื่องก็จบลงแค่นั้น

                นี่คือความล้มเหลวในการเรียน ล้มเหลวเพราะความรู้เพี้ยน! เนื่องจากไม่อ่านตำรา แม้แต่สอนเบื้องต้นก็ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องพูดถึงความรู้แก้โรค เวลานี้จะถามว่าใครตรวจได้บ้างว่าตายแล้วไปไหน ? ไม่มีใครทำวิชานี้ได้เลย น่าเสียใจมาก ! ความรู้ปราบมาร ไม่ต้องพูดถึง ! ไม่มีใครรู้เรื่องแล้ว อาจพูดถึงวิชารบได้บ้างพอเป็นน้ำกระสายยา เพราะยังจำวิชาได้บ้าง ก็จำได้แค่นั้น จากนั้นไป ไม่รู้อะไรทั้งนั้น อย่าเสียเวลาถามเลย

                นี่คือการเรียนในอดีต ส่วนการเรียนในยุคปัจจุบัน ต้องพูดว่า ไม่ได้ความด้วยประการใดๆ เพราะผู้สืบสานเรียนมาอย่างผิดวิธี เพียงแต่เรียนมาอย่างตามมีตามได้ ไม่ได้ค้นวิธีที่ถูกต้อง การเรียนจึงไร้ผล บางสำนักบวชเรียนกันจำนวนมาก เห็นจำนวนแล้วน่าชื่นใจ แต่พอวัดผลดู ไม่ปรากฏว่ามีใครทำได้ มีบ้างก็ไม่สมดุลแก่การลงทุนของเจ้าสำนัก แต่เจ้าสำนักก็ระดมจำนวนผู้เรียนให้มากเข้าไว้ แต่ผลการเรียนใช้ไม่ได้เลย !

                ท่านได้ทราบแล้วว่า วิชาธรรมกายเรียนยาก ตามข้อมูลที่นำมาเสนอนี้ ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า จะเรียนวิชาธรรมกายอย่างไรจึงจะได้ผล ? ตอบว่า ต้องเรียนให้รู้จริง วางรากฐานความรู้ให้ถูกต้อง ตามตำราหลักสูตรต่างๆ ดังที่ข้าพเจ้าได้แนะนำไว้แล้ว จึงขอให้ท่านติดตามหามาศึกษาค้นคว้า ข้องใจอะไร? หรือไม่เข้าใจอะไร? โปรดถามข้าพเจ้าได้

                อยากแนะนำให้ฝึกฝนตนเองเป็นวิทยากรให้ได้ ดังที่คณะของข้าพเจ้าทำขึ้นในทุกวันนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับตนเองก็ศึกษาค้นคว้าและฝึกตน เพราะมีตำราให้แล้วครบทุกหลักสูตร ถ้ามีเวลาก็ไปพบข้าพเจ้าได้ ไปถามข้าพเจ้า ไม่มีวิธีอื่น มีวิธีนี้วิธีเดียวที่จะอนุรักษ์วิชาธรรมกายไว้ได้ วิธีนี้วิธีเดียวที่จะสืบสานวิชาธรรมกายไว้ได้ เพราะทุกวันนี้ ถ้าดูในสำนักต่างๆ ที่เรียนวิชาธรรมกาย จะพบว่าวิชาเพี้ยนกันทั่วแล้ว บ่งบอกว่าขัดสนผู้มีความรู้แล้ว จึงเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเกิดความวิตกอย่างมาก ภาวนาในใจเสมอ ขอให้ผู้มีบุญลงมาเกิด เพื่อจะได้สืบต่อวิชาธรรมกาย เพื่อให้วิชานี้คงอยู่คู่ฟ้าดิน โพธิสัตว์ในบ้านเราในทุกวันนี้ ไม่มีความสามารถที่จะรักษาวิชาไว้ได้ เพราะความรู้ของท่านเพี้ยนไปหมดแล้ว

ในสากลโลกและสากลธรรม ใครเป็นใหญ่สุดยอด ?

                ในโลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโลกอะไร ? ไม่ว่าเป็นโลกของมนุษย์หรือโลกของสัตว์ ตอบว่ามารเป็นใหญ่สุดยอดในธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นธรรมอะไร ? ตอบว่ามารเป็นใหญ่สุดยอด ดังนั้น ทั้งในสากลโลกและในสากลธรรม มารเขาเป็นใหญ่ มารเขาเป็นเจ้า  มารเขาเป็นผู้ปกครองทั้งปวง  ผู้อยู่ในปกครองของเขา จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่เขาบังคับ

                การบังคับนั้น เขาบังคับโดยอะไร ? ไม่มีใครตอบได้เลย ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารมานานปี จึงได้รู้ว่ามารเขาบังคับเราด้วยวิธีอะไร ? ไม่มีใครอยากถูกบังคับ เราอยากมีอิสระด้วยกันทั้งนั้น ทั้งมนุษย์และสัตว์โลกต่างก็อยากมีอิสรภาพ อยากมีอิสระเสรี ไม่อยากอยู่ใต้ปกครองของใคร ! ให้เราดูประเทศในโลกของเรา บางประเทศอยู่ในปกครองของประเทศอื่น ต่อมาก็ดิ้นรนแยกตนออกเป็นอีกประเทศหนึ่ง เป็นอิสระเป็นเอกราช เมื่อเขาเป็นอิสระเป็นเอกราชแล้ว เขาก็ฉลองความเป็นเอกราชของเขา แล้วเขาก็จัดการปกครองประเทศของเขาเอง  ตัวอย่างเช่นนี้เราเห็นในโลกของเราแล้ว

                กลับมาดูสัตว์บ้าง สัตว์ถูกมนุษย์บังคับ โดยเอามาขังไว้ในกรงเลี้ยงบ้าง เอามาล่ามโซ่บ้าง ให้สังเกตว่า มันพยายามทุกอย่างที่จะออกจากกรงเลี้ยง พยายามจะให้หลุดจากโซ่ที่เราล่ามเขา หากหลุดจากกรงมาได้ หรือหลุดจากโซ่ล่ามมาได้ มันจะดีใจจนเราเห็นกิริยาอาการที่มันแสดงออก แสดงว่าสัตว์เขาอยากเป็นอิสระ ไม่อยากถูกบังคับ แต่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ?

                คราวนี้เรามาดูการบังคับของมารบ้างว่า เขาบังคับสัตว์โลกอย่างไร ? และดูว่าเขาบังคับนิพพานคือบังคับธาตุธรรมอย่างไร ? ตอบได้ทันทีว่า มารเขาบังคับโดยวิชา  วิชาคือความรู้  เขาตรัสรู้ดีกว่า เขาเห็นวิชาได้ละเอียดกว่า เขาก็เอาวิชาที่เขาตรัสรู้นั้นมาทำเครื่อง  แล้วเอาเครื่องนั้นเข้ามาบังคับใจพวกเรา พวกเราเมื่อถูกวิชาของมารแล้ว ใจของเราก็หมดอิสรภาพ เป็นไปตามการบังคับของวิชามาร เราแก่ เราเจ็บ คือเป็นโรค และเราตาย ก็ด้วยการบังคับของวิชามาร วิชาที่เขาทำบังคับคือวิชาทุกข์และสมุทัยนั่นเอง ส่วนการบังคับธาตุธรรมคือการบังคับในนิพพานนั้น เขาทำวิชาปิฎกของมารขึ้นมา แล้วเอาวิชาปิฎกของเขามาหุ้มดวงปิฎกของธรรมภาคขาว ทำให้ปิฎกของภาคขาวหมดอิสรภาพ นิพพานของภาคขาวจึงอยู่ในปกครองของมารด้วยวิชาปิฎกนี่เอง ปิฎกของเราเบิกบานออกมาไม่ได้ เพราะถูกปิฎกของมารเขาบังคับอยู่ พระพุทธเจ้าในนิพพานตรัสรู้อะไรไม่ได้เลย ! เป็นปัญหาใหญ่หลวง

                ดังนั้น มารเขาจึงเป็นเจ้าโลก มารเขาจึงเป็นเจ้าธาตุเจ้าธรรม  คือบังคับมนุษยโลกและบังคับนิพพานได้ทั้งหมด

                ความเสียหายเกิดจากการปกครองของมารนั้น ตอบว่าเสียหายมาก กล่าวถึงพวกเรา คือมนุษย์ที่ถูกมารปกครองในทุกวันนี้ เรามีความแก่ เป็นโรค และตาย หากยังไม่ตาย ก็เดือดร้อนด้วยประการต่าง ๆ เกิดกลียุค เกิดสงคราม เกิดข้าวยากของแพง เกิดโจรผู้ร้าย เกิดภัยธรรมชาติ นั่นคือฝีมือของมารที่เขาทำให้เป็นไป ความละเอียดที่ลึกลงไปที่เรามองไม่เห็น ก็คือมารเขามาระเบิดดวงบุญไปจากมนุษย์ได้  เขาทำได้ตามใจชอบ  โดยที่เราไม่รู้เลย  และเมื่อมนุษย์ตายไป  จะต้องไปสู่ภพภูมิที่มารเขาจัดไว้กักขัง  นั่นคือ นรก อเวจี และโลกันต์ สรุปแล้ว มนุษย์เดือดร้อนทั้งที่มีชีวิตอยู่ และเดือดร้อนหลังจากที่ตายไปแล้ว พวกเราที่เรียนวิชาธรรมกายกันมานานปีนั้น ยังเอาความรู้มาพูดได้ไม่มาก เพราะยังศึกษาเล่าเรียนน้อยไป  ความรู้ยังเล็กน้อยเกินไป ท่านบอกว่าเรียนมาร้อยปีนั้น ข้าพเจ้าดูแล้ว ความรู้ของท่านแค่ระดับอนุบาลศึกษาเท่านั้น แปลว่าความรู้ยังน้อยเกินไป

                กลับมาดูเรื่องมรรคผลนิพพานบ้าง พระพุทธเจ้าของภาคขาวที่อยู่ในนิพพาน ถูกมารปกครองโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถตรัสรู้ในความรู้ละเอียดต่อไปได้ คงได้ตรัสรู้เฉพาะที่มาทำหน้าที่พระพุทธเจ้าในโลกเท่านั้น ตรัสรู้ได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น เมื่อกลับเข้าสู่นิพพานแล้ว ไม่ได้ตรัสรู้อะไรอีกเลย มารเข้ามากดขี่ข่มเหง บังคับในทุกรูปแบบ พวกเราเรียนวิชาธรรมกายกันมานานปี แต่ก็ยังเอาเรื่องราวมารายงานได้นิดหน่อยเท่านั้น ไม่รู้อะไรที่ลึกซึ้ง ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารมานานปี ได้รู้เห็นมากพอสมควรแล้ว จึงนำความรู้นั้นมาบรรยายให้ทราบเท่าที่จะทำได้ ดวงบารมีของพระพุทธองค์ มารเขาก็มาระเบิดเอาไปได้ เขาเอาพระพุทธองค์ไปทำโทษก็ได้ เอาไปกักขัง เอาไปกักบริเวณ เอาจักรพรรดิของภาคขาวไปทารุณกรรมนานาประการ ข้าพเจ้าได้นำผลงานมารายงานมากมายแล้วในหนังสือปราบมารภาค ๑-๒-๓-๔ ให้ท่านกลับไปอ่านเอาเอง

                สรุปว่า ในสากลโลกในสากลธรรม มารเขาเป็นใหญ่สุดยอด เขาเป็นเจ้าธาตุเจ้าธรรม เขาเป็นผู้ปกครองใหญ่

                ต้องจำไว้เป็นความรู้ว่า มารเข้าที่ไหน ? ก็เดือดร้อนที่นั่น ! ใครถูกมารปกครอง ! เขาผู้นั้นก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ ทั้งนิพพานและภพ ๓ ถูกมารปกครอง จึงเดือดร้อนกันถ้วนหน้า นิพพานหมายถึงพระพุทธองค์ และภพ ๓ หมายถึงชาวสวรรค์คือทิพย์ พรหม อรูปพรหม และมนุษย์ในโลกของเรานี้ เป็นผู้ได้รับทุกข์และเดือดร้อน เนื่องจากอยู่ในปกครองของมาร ไม่มีใครอยากอยู่ในปกครองของมารด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนอยากเป็นอิสระเสรีด้วยกันทั้งนั้น แต่เหตุที่จำยอม เนื่องจากความรู้สู้มารเขาไม่ได้ ดังที่กล่าวแล้วนั้น

                ถามว่า ความทุกข์และความเดือดร้อนที่เราได้รับนั้นเป็นเวลายาวนานแค่ไหน ? ตั้งแต่เมื่อไรมาแล้ว ? คำถามนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ ไปถามนิพพานท่านดู ท่านก็ตอบว่านานมาแล้ว ที่ว่านานแล้วนั้นกี่ปีกี่เดือน ? ยังไม่มีใครตอบได้ทั้งนั้น ข้าพเจ้าพยายามจะรู้มานานแล้ว แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ถ้าให้ข้าพเจ้าตอบแบบเดาเอา ข้าพเจ้าก็เดาว่าตั้งแต่มีมรรคผลนิพพานมาทีเดียว แต่มารเขาเข้าบังคับไม่ให้พูด  ไม่ให้บอกความจริงแก่กันและกัน ใครพูดใครบอก ? มารเขาก็ทำโทษ ! ดังข้อมูลต่างๆ ที่เสนอไปแล้วในหนังสือปราบมารทั้ง ๔ ภาคนั้น เพราะเหตุนี้เอง เราจึงไม่รู้ของจริง เนื่องจากพระพุทธองค์บอกความจริงแก่เราไม่ได้ เพราะถูกมารเขาบังคับไปหมด แม้พวกเราจะเรียนวิชาธรรมกายกันมาแสนนาน ก็ยังไม่อาจรู้เรื่องราวเช่นนี้ได้ เพราะวิชาของเรายังอ่อนเกินไป ยังเข้าไม่ถึงความรู้ลึกซึ้งระดับนี้ เหตุผลที่ข้าพเจ้ารู้ได้ เป็นเพราะงานปราบมารของข้าพเจ้ามาถึงขั้นตะลุมบอนกันแล้ว หากการรบไม่ถึงขั้นนี้ จะไปล่วงรู้เรื่องลึกซึ้งเช่นนั้น  ย่อมเป็นไปไม่ได้ !  ดังนั้น ความรู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้านำมาเสนอนี้ เป็นความรู้ลึก ยังไม่มีใครรู้เรื่องทั้งนั้น

วิชาปราบมารที่นายการุณย์ บุญมานุช ทำอยู่ในทุกวันนี้ ทำเพื่ออะไร ? นี่คือประเด็น

                ตอบทันทีเลย ทำเพื่อให้พระพุทธองค์ในนิพพานชนะมารให้จงได้ แม้ว่าจะยากหรือลำบากอย่างไร ? ข้าพเจ้าก็จะพยายามทำต่อไป แม้จะไม่มีความหวังเลย ข้าพเจ้าก็ต้องทำ เพราะข้าพเจ้าถูกธาตุธรรมท่านกำหนดตัวให้ปราบมาร  ไม่มีทางที่ข้าพเจ้าจะหลบหลีก ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงด้วยประการใด ๆ

                ถามว่า  วิชาปราบมารที่ทำอยู่นี้  เริ่มทำมาตั้งแต่เมื่อไร ?  ตอบว่า เริ่มทำมาตั้งแต่วันเข้าพรรษาของปี ๒๕๒๗ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ นับถึงวันนี้คือปี ๒๕๔๕ เป็นเวลา ๑๘ ปีแล้ว ถามต่อไปว่า ได้ผลงานอะไรบ้าง? ตอบว่าได้ผลงานตามหนังสือปราบมารภาค ๑-๒-๓-๔  เล่มที่อยู่ในมือของท่านคือ  ปราบมารภาค ๕

    ผลงาน ปราบมารภาค ๕ มีดังต่อไปนี้

                เพื่อให้ความรู้ติดต่อสืบเนื่องกัน  โปรดกลับไปอ่านเล่ม ปราบมารภาค ๔ อีกครั้งหนึ่ง ว่าเล่มนั้นถึงผลงานใดแล้ว ? เพราะปราบมารภาค ๕ กล่าวต่อจากเล่ม ปราบมารภาค ๔ ทันที

(๑.) การรบมาถึงจุดหนึ่ง ปรากฏว่าอายตนะนิพพานของเราไม่มีดวงธรรม ๖ ดวงให้เดินวิชาจึงเป็นทางตัน หมดหนทางที่จะแก้

                เป็นการพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงของภาคขาว นี่คือทะเลรู้ทะเลญาณของภาคขาวถูกมารกลืนไปหมดแล้ว ส่งผลให้มารเขารู้อะไรในภาคขาวจนหมดสิ้น  แต่ภาคขาวไม่รู้อะไรในภาคมารเลย เป็นเหตุให้ภาคมารเขาเข้ามาบดขยี้ภาคขาวอย่างสบายมือ กว่าเราจะรบผ่านจุดนี้ไปได้ เราก็เหงื่อแตก

                เรื่องนี้ได้นำเสนอแล้วในเล่ม ปราบมารภาค ๔ นี่คือเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องอันตรายใหญ่หลวงทีเดียว ใช้เวลาค้นคว้าอยู่นาน กว่าเรื่องราวจะแจ้งขึ้นได้ ต้องใช้แบบรวมความรู้ทีละนิด  กว่าจะสรุปเป็นความรู้ได้  ใช้เวลาเป็นแรมปีทีเดียว  ความรู้ว่าด้วยเรื่องดวงธรรม ๖ ดวงที่นำเสนอวันนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ความรู้อย่างละเอียดนั้น ยังเสนอวันนี้ไม่ได้ ได้โปรดเข้าใจและให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย ที่ยังไม่อาจนำความรู้ชนิดละเอียดมาเสนอ แต่มีความจำเป็นต้องนำเสนอเท่าที่จะบอกได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญสุดยอด

 ก.            ดวงธรรม ๖ ดวงคืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ?

                ดวงธรรม ๖ ดวง คือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ดวงมรรค หรือดวงปฐมมรรค หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ดวงธรรม นั่นเอง)  ดวงศีล  ดวงสมาธิ  ดวงปัญญา  ดวงวิมุตติ  ดวง วิมุตติญาณทัสสนะ ดวงธรรมทั้ง ๖ นี้ มีหยาบละเอียด เป็น เถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด ละเอียดไปมากน้อยแค่ไหนเราไม่ทราบ

                ดวงธรรมเหล่านั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?  ประกอบด้วย เห็น-จำ-คิด-รู้ ใจ-จิต-วิญญาณ หุ้มด้วยทาน-ศีล-ภาวนา และหุ้มด้วยปิฎกธาตุปิฎกธรรม คือ สุตตันตปิฎก-วินัยปิฎก-อภิธรรมปิฎก-ดวงสิทธิ-ดวงอำนาจ และกลางดวงอำนาจนั้นประกอบด้วย บุญ-บารมี-รัศมี-กำลัง-ฤทธิ์-เฉียบขาด-สมบัติ-คุณสมบัติ-ความสำเร็จ ทุกดวงประกอบด้วยดวงธรรมละเอียดเหล่านี้ เมื่อดวงธรรมเหล่านี้มีน้อย แปลว่าอาณาจักรของการเห็น-การจำ-การคิด-การรู้ มีความแคบเข้ามา ไม่มีอะไรต่างพระเนตรพระกรรณ บริวารของการเห็น-การจำ-การคิด-การรู้ ไม่มีเสียแล้ว แปลว่าการตรัสรู้ของเราน้อยไป แปลว่าดวงทาน-ศีล-ภาวนา ถูกกำจัดไป แปลว่าปิฎกธาตุปิฎกธรรมถูกทำลายไป แปลว่าสิทธิและอำนาจถูกริดรอนไป แปลว่าบารมีของเราถูกลักขโมยไป

                เมื่อเหตุการณ์การรบมาถึงจุดนี้ คือมาถึงประเด็นที่นิพพานของเราไม่มีดวงธรรม ๖ ดวง ทำให้เราทราบได้ว่าอาณาจักรแห่งใจของภาคขาวมีขอบข่ายเพียงแค่นี้เอง ดวงทาน-ดวงศีล-ดวงภาวนา ถูกมารดับตั้งแต่จุดนี้ ปิฎกธาตุปิฎกธรรมของภาคขาวถูกดับตั้งแต่ตรงนี้ ส่งผลให้ภาคขาวตรัสรู้อะไรไม่ได้ การที่เรารู้เห็นได้น้อย เป็นเพราะอย่างนี้ การที่เราไม่ตรัสรู้ เป็นเพราะอย่างนี้

                การรบมาถึงเหตุการณ์เช่นนี้ บอกให้เราทราบว่า เขารู้เราจนหมดสิ้น แต่เราไม่รู้เขาเลย คือ เขารู้เรา แต่เราไม่รู้เขา ต้องจำหลักไว้ว่า ฝ่ายใดรู้เห็นได้มากกว่า ฝ่ายนั้นชนะ ฝ่ายที่รู้เห็นน้อยกว่า เป็นผู้แพ้เสมอไป พูดให้เป็นวิชาการก็ว่า ฝ่ายใดตรัสรู้ได้มาก ฝ่ายนั้นเป็นผู้ชนะ นั่นเอง

 ข.           เมื่อนิพพานของเรามีดวงธรรมจำกัด เราเกิดข้อคิดอะไร?

                ข้อคิดที่เกิดแก่เราคือ พระพุทธเจ้าของภาคขาวตรัสรู้ไม่ได้ เพราะดวงธรรมมีจำกัด จึงเป็นรองมารเขา มารเขาจึงได้โอกาสกดขี่ข่มเหงสารพัดรูปแบบ เมื่อเราตรัสรู้ไม่ได้ ก็แปลว่าเราถึงทางตัน คือหมดประตูสู้ด้วยประการทั้งปวง

                ถามว่า เหตุการณ์นี้เป็นมาตั้งแต่ครั้งใด ? เป็นเวลายาวนานแค่ไหน? เรื่องนี้ยังไม่มีใครตอบได้ เรื่องนี้มีใครรู้เห็นบ้าง ? มีใครทราบบ้างไหม ? ตอบว่า ยังไม่มีใครรู้ยังไม่มีใครทราบ เพราะยังไม่มีใครทำวิชาค้นคว้าไปถึง นั่นเอง

 ค.            เหตุใดข้าพเจ้าจึงเดินวิชามาพบว่านิพพานไม่มีดวงธรรม ?

                ข้าพเจ้าก็ตอบไม่ได้ บอกได้แต่ว่า เมื่อถึงเวลาทำวิชาข้าพเจ้าก็รวมนิพพานกายธรรมเข้ากับนิพพานเป็น ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วก็สืบรู้สืบญาณทัสสนะไป ต่อรู้ต่อญาณทัสสนะไป ตามแนววิชาซ้อนสับทับทวีที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ เพื่อหามาร พบมารที่ใด ? ก็ดับให้หมด แต่การเดินวิชานั้น จะต้องเข้าดวงธรรม ๖ ดวงเสมอไป เพราะดวงธรรม ๖ ดวงนั้น มีละเอียดเข้าไปนับไม่ถ้วน

                ต่อมาเราได้พบว่า เราเดินวิชาไม่ได้ เพราะนิพพานไม่มีดวงธรรมเสียแล้ว เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า

                ก็ตอบให้ท่านทราบได้เพียงแค่นี้ แล้วท่านก็ถามต่อไปอีกว่า เมื่อมาพบเหตุการณ์เช่นนี้เข้า ข้าพเจ้าแก้ปัญหานี้ไปอย่างไร ? บอกให้ทราบบ้างได้ไหม ? นี่คือคำถามของท่าน

 ง.            เรื่องถามมีมาก ถ้าตอบได้หมด เราก็ชนะมารไปแล้ว

                ปัญหามีอยู่  แต่เราตอบปัญหาไม่ได้  เราจึงเป็นผู้แพ้จนทุดวงบารมีไปจากพระองค์ มีจำนกวันนี้  นี่คือหลักการ

                กรณีที่ข้าพเจ้าเดินวิชามาถึงปัญหานี้ เป็นการบังเอิญว่าข้าพเจ้าอ่านตำราที่หลวงพ่อท่านทำไว้ แล้วระลึกถึงความรู้นั้นได้ ตำราเล่มนั้นคือ วิชชามรรคผลพิสดารภาค ๑ และวิชชามรรคผลพิสดารภาค ๒ การเดินวิชาทำอย่างไร ? ขอให้ท่านไปค้นคว้าหนังสือ ปราบมารภาค ๔ ตั้งแต่หน้า ๒๒๘ ถึงหน้า ๒๓๒ เพราะแสดงการเดินวิชาไว้แล้ว จึงไม่นำมากล่าวอีก

                เมื่อทำวิชาตามแนวนี้แล้ว ดวงธรรม ๖ ดวงเกิดขึ้นมากมาย วันต่อมา เราเดินวิชาได้อีก เพราะมีดวงธรรมมารองรับ และเมื่อเดินวิชาไปนานวัน ก็มาพบว่าดวงธรรม ๖ ดวงไม่มีอีก เมื่อไรปัญหานี้จะหมดไป ? ยังตอบไม่ได้ ! ? !

 จ.            เมื่อดวงธรรม ๖ ดวงเกิดขึ้นแล้ว ส่งผลอะไรแก่นิพพานบ้าง?

                การที่ดวงธรรม ๖ ดวงเกิดขึ้นมาใหม่ นี่คือทะเลรู้ทะเลญาณของพระพุทธองค์ได้ฟื้นคืนชีพแล้ว นี่คือปิฎกธาตุปิฎกธรรมของพระพุทธองค์ได้ฟื้นคืนชีพแล้ว แต่จะฟื้นคืนมาได้ครบทั้งหมดหรือยัง ? ยังตอบให้ทราบในวันนี้ไม่ได้ การรบต้องดำเนินไปอีกระยะหนึ่ง จึงจะบอกได้ในวันนั้น

                คำถามที่ตามมาก็คือ ดวงธรรม ๖ ดวงของนิพพานที่พระพุทธองค์มีอยู่ในปัจจุบันนั้นคืออะไร ? คำตอบก็คือ ดวงธรรม ๖  ดวงที่พระพุทธองค์มีอยู่ในปัจจุบันคือ ดวงธรรมสุดหยาบ เพราะดวงธรรมสุดละเอียดนั้น มารเขาทำวิชาดับไปหมดแล้ว การที่มารเขาทำวิชาดับดวงธรรมสุดละเอียดของเราได้ ส่งผลให้เราตรัสรู้ไม่ได้ เราจึงรู้เห็นแต่ที่หยาบ ๆ การรู้เห็นที่ละเอียดกระทำไม่ได้ เนื่องจากดวงธรรมสุดละเอียดถูกดับไปจนหมด ดังที่เราได้มาพบเหตุการณ์ในวันนี้

                เมื่อเราทำวิชาแก้ไข จนถึงขั้นดวงธรรม ๖ ดวงประเภทสุดละเอียดเกิดขึ้นใหม่ แปลว่าทะเลรู้ทะเลญาณของภาคขาวฟื้นคืนชีพแล้ว ต่อไปนี้พระพุทธองค์จะตรัสรู้ได้แล้ว ต้องจัดว่าเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ของภาคขาวทีเดียว ดีใจกันทั่วธาตุตลอดธรรม เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของภาคขาว

                ดังนั้น เราตอบได้ทันทีว่า การที่ดวงธรรม ๖ ดวงประเภทสุดละเอียดกลับฟื้นคืนชีพนั้น ส่งผลให้พระพุทธองค์ในนิพพานตรัสรู้ได้ในทันที มรรคผลนิพพานในระดับอายตนะนิพพานจะไม่มืดบอดอีกต่อไป จะไม่ถูกมารข่มขยี้อีกต่อไป จะไม่เป็นรองมารอีกต่อไป ข้าพเจ้าตั้งความหวังไว้เช่นนั้น เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นผู้ทำวิชาปราบมาร จึงหวังไว้เช่นนั้น

 ฉ.           เมื่อพระพุทธองค์และสาวกเข้านิพพานแล้ว ได้ตรัสรู้เพิ่ม                    เติมอีกหรือไม่ ?

                การตอบคำถามต่อไปนี้ หากไม่ถือผิดถือถูก ข้าพเจ้าก็จะขอคุยด้วย เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นผู้ทำวิชาปราบมาร หากท่านตกลงเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะขอคุยด้วย ดังนี้

                ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในตำราปราบมารของข้าพเจ้าแล้วว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าภาคขาวนั้น มีหลักสูตรการตรัสรู้ได้แค่ไหน ? การตรัสรู้ย่อมเป็นไปตามที่มารเขาบัญญัติ และการกำหนดอายุของพระพุทธเจ้านั้น จะให้มีชีวิตอยู่ในโลกได้แค่ไหน ? ก็ย่อมเป็นไปตามที่มารเขากำหนดเช่นเดียวกัน

                แสดงว่ามารเขากำกับได้ทั้งหมด  มารเขาเป็นผู้บังคับได้ทั้งหมด ตามที่มารเขาต้องการ

                คราวนี้ มาดูระบบมรรคผลนิพพานของภาคขาวบ้างว่าเป็นเช่นไร ? ขอให้เราพิจารณาตรงนี้ให้ดี

                เราทราบแล้วว่า พระพุทธองค์ก็ดี และพระอรหันต์ก็ดี เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ก็เข้าสู่นิพพาน หรือพูดเป็นคำวิชาการว่าเข้าสู่อายตนะนิพพาน คือได้มรรคผลนิพพาน นั่นเอง ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ประเด็นที่เราอยากทราบว่าพระพุทธองค์และพระอรหันต์เมื่ออยู่ในอายตนะนิพพานนั้น ได้ตรัสรู้เพิ่มเติมอีกหรือเปล่า ? หน้าที่ประจำของผู้ได้มรรคผลนิพพานคืออะไร ? จงบรรยายให้ทราบ

                ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจะรู้ แล้วก็จะรู้ได้ง่ายๆ ! ไม่มีตำราให้ค้นคว้า เป็นทางตันที่เราจะรู้ด้วยประการใดๆ แม้แต่คนที่เรียนวิชาธรรมกายมานานร้อยปี ก็ยังรู้เห็นไม่ได้ง่ายๆ จะเอาเรื่องราวมาบอกเล่าให้พวกเราฟัง ไม่ใช่จะทำได้ง่าย ท่านผู้ศึกษาเล่าเรียนได้รู้จักเกจิอาจาร์ยที่เรียนวิชาธรรมกายมาแล้ว ก็ลองถามความรู้ท่านดู ให้ท่านเล่าความรู้ให้ฟังบ้าง ก็จะพบว่ายังไม่ได้ความอะไรทั้งนั้น อย่าไปว่าท่านเลย เพราะมันยากเกินปัญญาทั้งนั้น แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็บอกแล้วว่า มันยากยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น

                การที่ข้าพเจ้าพอรู้มาบ้างนั้น เป็นเพราะข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารมานานปี จึงพอที่จะรู้เห็นอะไรบ้าง พอที่จะคุยให้ท่านฟังได้บ้าง  แต่จะให้ถึงขั้นความรู้ละเอียดลออนั้น  ยังไม่ถึงขั้นนั้น มายุติว่าคุยกันพอได้บ้างเท่านั้น  หากท่านให้อภัยตามที่กล่าวนี้  ข้าพเจ้าจะขอบรรยาย ดังต่อไปนี้

 ช.            แรกเริ่มที่เกิดมรรคผลนิพพานของภาคขาวนั้น ภาคมาร                       เกิดขึ้นก่อนแล้ว

                ธรรมภาคมารเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ยังไม่ทราบที่มาและที่ไป เรื่องนี้ต้องรอไปก่อน ยังบรรยายวันนี้ไม่ได้

                เมื่อมรรคผลนิพพานของภาคขาวเกิดขึ้น เป็นยุคของมนุษย์มีใจเป็น ทาน-ศีล-ภาวนา มรรคผลนิพพานของภาคขาวมีระบบนิพพานเป็น สอุปาทิเสสนิพพาน (คือนิพพานเป็น เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ เหมือนกายของพระสงฆ์ในปัจจุบัน ไม่มีเกตุบัวตูม เพราะไม่ใช่กายธรรม จึงไม่มีเกตุ) หมายความว่ามนุษย์ที่เกิดในโลก ไม่ต้องใช้กฎหมายปกครอง เมื่อมนุษย์เกิดในโลก ก็มีชีวิตอยู่ด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนาทำใจให้สว่างใส เมื่อหมดอายุขัย ก็ไปสู่สวรรค์ ไม่เรียกว่าตาย แต่เรียกว่าหมดอายุขัย ครั้นมาเกิดในโลกอีก ก็มาบำเพ็ญทาน-ศีล-ภาวนา เป็นการเพิ่มพูนบารมีให้เต็มส่วน กล่าวถึงชาติสุดท้ายของการได้มรรคผล ได้มาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วก็เห็นธรรมคือเห็นกายธรรม แล้วก็จะละสังโยชน์ได้ จากนั้นเข้าบวชในศาสนา แล้วก็เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ด้วยเพศของพระสงฆ์

                กล่าวถึงความสวยงามของกายมนุษย์ เมื่อแรกถือกำเนิดเกิดมา กายมนุษย์ยังไม่งาม ต่อมาก็จะงามขึ้นเป็นลำดับ ครั้นมาถึงขั้นได้มรรคผล กายก็งามและเกิดความใส อย่าลืมว่าการเจริญของกายนั้น เป็นไปตามหลักของกำเนิดเดิม คือเบื้องต้น เบื้องกลางและเบื้องปลาย คือวัยเด็ก วัยกลางคน และวัยสูงอายุ นั่นเอง ยุคของทาน-ศีล-ภาวนา นั้น การแก่ของร่างกายเป็นการแก่อย่างเพชรอย่างพลอย คือยิ่งแก่ยิ่งวาววับ ยิ่งแก่ยิ่งใส ยิ่งแก่ยิ่งงาม ยิ่งแก่ยิ่งมีรัศมี ไม่ใช่แก่อย่างพืชผัก การแก่ของพืชผัก แก่แล้วก็เหี่ยวเฉาเน่าเปื่อย

 ซ.           มารเขามองดูเหตุการณ์เบื้องต้นในมรรคผลนิพพานของ                      ภาคขาวอย่างไร ?

                ต้องไม่ลืมความรู้เดิมที่ว่า มารเขาเกิดขึ้นก่อน ความรู้นี้ทราบจาก ต้นใหญ่ ทรงบอกให้ทราบ ข้าพเจ้าก็จำความรู้นี้ไว้ตั้งแต่ปราบมารใหม่ๆ ไม่ทราบจดบันทึกไว้ในเล่มใด ? เพราะข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องอะไร ? ถ้าธาตุธรรมไม่บอก เราก็ไม่ทราบ ธรรมภาคขาวเกิดทีหลัง นี่คือความรู้หลัก

                เมื่อมรรคผลนิพพานภาคขาวเกิดขึ้น มารเขาก็ยิ้มรับว่าอาหารอันโอชะมาสู่เขาแล้ว แต่เขาไม่แสดงออกอะไรทั้งนั้นเปรียบเทียบให้ดู ก็เหมือนกับว่า ป่านี้มีสิงโตอาศัยอยู่ วันดีคืนดีก็มีฝูงม้าลายเข้ามาอยู่ใกล้ป่า ถึงจะอยู่ห่างกันบ้าง แต่ก็ไม่เกินความพยายามของสิงโตที่จะเดินทางมาเยือนทุกเวลาที่เขาประสงค์ ทุกเวลาที่เขาต้องการ

                กลับมาพิจารณาถึงธรรมภาคขาวบ้าง เมื่อทราบว่ามีมาร ถามว่าภาคขาวคิดอย่างไร ? ประเด็นที่เราพิจารณาก็คือภาคขาวมีใจเป็น ทาน-ศีล-ภาวนา มาตั้งแต่เดิม การมองกันในแง่ร้าย ภาคขาวคิดไม่เป็น เพราะกำเนิดเดิมของภาคขาวไม่เป็นพื้นฐานที่จะให้ใจไปคิดอย่างนั้น ปกติภาคขาวมีแต่ เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา

                นี่คือเหตุผล ขอให้ท่านทำความเข้าใจ การจะคิดอะไร ? ต้องมีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง จึงจะคิดได้

                ทางฝ่ายมารเขาเฝ้าดูอยู่ด้วยความสนใจ ดวงบารมีอันมหาศาลของภาคขาว คือเป้าหมายของเขา เขาไม่ต้องไปทำกินอะไรอีกต่อไป เขาคิดที่จะดับวิชาของธรรมภาคขาว เขาจะทำอย่างไร ? เขาจะให้อาณาจักรแห่งอายตนะนิพพานของภาคขาวสืบต่อไปอีก เพราะดวงบารมีของภาคขาวของผู้ได้มรรคผลนิพพานจะเกิดอีกเท่าไร ? นับว่าใหญ่หลวงยิ่งนัก ! เขามองประโยชน์ที่เขาจะได้ แต่จะหักหาญเอาในทันใดยังไม่ได้ ต้องคิดวิชาก่อน แล้วเอาวิชาที่เขาคิดได้มาบังคับ หากเขาสามารถบังคับได้ ทุกอย่างก็เป็นของเขาโดยสิ้นเชิง

                นี่คือแนวคิดของมาร  เมื่อเขาคิดแล้ว  เขาก็ดูลู่ทางที่จะเป็นไปได้ แล้วก็ลงมือทำวิชาทันที

                ประการแรก เขาดูข้อมูลของภาคขาวก่อนว่า ภาคขาวมีอะไรบ้าง ? อยู่ที่ใดบ้าง ? แล้วเขาจะเอาวิชาอะไรมาบังคับ ? เขาทราบว่า ภาคขาวมีใจเป็น ทาน-ศีล-ภาวนา และทาน-ศีล-ภาวนา เป็นฐานของปิฎกธาตุปิฎกธรรม คือเป็นฐานให้สุตตันตปิฎก-วินัยปิฎก-อภิธรรมปิฎก เป็นลำดับไป จากหยาบไปหาละเอียด นับไม่ถ้วนเท่าไร ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ เกิดดวงปฐมมรรค-มรรคจิต-มรรคปัญญา เกิดกายธรรมตั้งแต่กายธรรมเล็กจนถึงกายธรรมใหญ่ เป็นลำดับไป

                นี่คือสรุปย่อ มารเขาก็แก้โดยเอาดวงทุกข์สมุทัย มาหุ้มดวงทาน-ศีล-ภาวนา ส่งผลให้ทาน-ศีล-ภาวนา หย่อนอานุภาพลง ดวงทุกข์และสมุทัยนี้เอง ทำให้สัตว์โลก เกิดโรค พยาธิ ชรา มรณะ ทุกข์ พูดอย่างเข้าใจง่ายก็คือ สัตว์โลกเมื่อถูกวิชามารมากำกับแล้ว ก็แก่ เจ็บ (เป็นโรค) และตาย ส่วนปิฎกธาตุปิฎกธรรมของภาคขาวนั้น เขาก็เอาปิฎกของมารมาหุ้มปิฎกของภาคขาว คือ อภิชฌา-พยาบาท-มิจฉาทิฏฐิ-โลภะ-โทสะ-โมหะ-ราคะ-โทสะ-โมหะ...ฯลฯ ทำให้ปิฎกของภาคขาวอ่อนกำลังลงทันที

                สรุปแล้ว วิชาของมารทั้ง ๒ วิชานี้ ทำให้นิพพานของภาคขาวล่มสลาย กล่าวคือวิชาปิฎกของมารทำให้อายตนะ-นิพพานล่มสลาย และมารเอาวิชาทั้ง ๒ นี้ไปใช้ปกครองในภพ ๓ ด้วย ทำให้ภพ ๓ ซึ่งประกอบด้วยอรูปพรหม ๔ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น และมนุษยโลก ทุกข์ร้อนสืบต่อกันมาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้

                เมื่อมารใช้วิชาปิฎกของมารเข้าปกครองอายตนะนิพพาน ส่งผลให้อายตนะนิพพานของภาคขาวล่มสลาย คือ พระพุทธองค์สู้วิชาของมารไม่ได้ มารก็เข้ายึดอำนาจปกครองโดยทันที มารเขาบังคับได้หมด มารเขาเอาดวงบารมีของพระองค์ไปได้ เอาพระองค์ไปทำโทษก็ได้ เอาจักรพรรดิไปทำโทษก็ได้ ดังข้อมูลต่างๆ ที่นำมาเสนอไปแล้ว ในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ นั้น โปรดอ่านทบทวนดู ก็จะทราบเรื่อง

 ฌ.           เมื่อมารยึดปกครองนิพพานได้ เกิดความเสียหายอย่างไร ?

                ประการแรก มารเขาเอาพระพุทธองค์ของเราไปบังคับ การบังคับนั้น เขาทำหลายรูปแบบ เท่าที่ข้าพเจ้าไปพบก็คือ เอาไปกักกันไม่ให้รวมพวก เอาไปกักขัง เอาไปทรมาน รูปแบบนี้ หมายความว่าเอากายไปได้ ข้อมูลที่สนับสนุนก็คือข้อมูลในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ ตั้งแต่ปราบมารภาค ๑ ถึงเล่มปราบมารภาค ๔ โปรดนำมาอ่านดูใหม่ ตามเนื้อเรื่องในปราบมารเล่มก่อนๆ นั้น ข้าพเจ้าพบเห็นอะไรก็จดบันทึกไว้ แล้วก็นำมาเล่า แต่ยังประมวลเป็นเรื่องเป็นราวยังไม่ได้ เพราะงานปราบมารทำได้แค่นั้น ยังสรุปเรื่องไม่ได้ วันนี้เป็นการรบในปีที่ ๑๘ พอจะนำเรื่องมาสรุปได้บ้าง ดังที่บรรยายอยู่นี้ นอกจากจะพบว่ามารเอาพระพุทธองค์ไปกักกันแล้ว ยังพบจักรพรรดิของภาคขาวจำนวนมากที่มารเอาไปทำโทษเอาไปทรมานในรูปแบบเดียวกัน

                ประการที่สอง มารเขาออกคำสั่งบังคับไปหมดในทุกเรื่อง รวมความว่า พระพุทธองค์ทำอะไรไม่ได้เลย แต่แรกที่เราไปพบเหตุการณ์ เราข้องใจว่า เหตุใดพระพุทธองค์ไม่รับสั่งกับเรา ? เหตุใดพระองค์ไม่บอกความรู้แก่เรา ? ได้ตั้งข้อสังเกตมาเป็นเวลา ๑๐ ปี เราจึงไม่ทราบว่า อะไรเป็นอะไร ? เป็นเพราะไม่ทรงทราบหรือว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ? ทำให้เราเกิดความสับสนในทางความคิด หากท่านอ่านเรื่องราวทั้งปวงในเล่มปราบมารทั้ง ๔ ภาค ท่านก็จะพอทราบเรื่อง เพราะเรื่องในเล่มปราบมารภาค ๕ มีการอธิบาย มีการสรุปเนื้อหาสาระซึ่งไม่ปรากฏในเล่มก่อนๆ นี่คือข้อสังเกตที่ท่านตรวจสอบได้ ที่ผ่านมาจะให้สรุปเนื้อหาได้อย่างไร ? เพราะงานปราบมารในปีที่แล้วมาเหล่านั้น  เรายังรู้เห็นน้อยไปนั่นเอง  สรุปว่า ใครขัดคำสั่งมาร ? เขาก็ลงโทษทั้งนั้น !

                ประการที่สาม คือข้อหาที่กลัวกันมาก คือข้อหาอะไร ? กว่าจะรู้เรื่องนี้ได้ รอคอยมาถึงปีที่ ๑๖ คือมารเขาตั้งข้อหาว่า ใครขัดคำสั่ง ? ถือว่าผู้ขัดคำสั่งเป็นมาร เขาออกคำสั่งห้ามสารพัด ห้ามค้นคว้าวิชา ! ห้ามไม่ให้ตรัสรู้ ! ห้ามรบกับเขา ! ห้ามต่อสู้กับเขา ! ห้ามปรึกษาหารือกัน ! ห้ามไปมาหาสู่กัน ! ห้ามบอกความจริงแก่กันและกัน ! เพราะการห้ามอย่างนี้ จึงทำให้พระพุทธเจ้าในอดีตพูดความจริงกับพระพุทธเจ้าในปัจจุบันไม่ได้ เราจึงเข้าใจเรื่องของนิพพานไม่ตรงกับความจริงมาจนทุกวันนี้ เช่น เราอ่านพระไตรปิฎกพบว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารไปพบเห็นเข้า มารมาทำบ่อนแตกเช่นนี้ จะว่าเป็นสุขได้อย่างไร ? เมื่อข้าพเจ้านำเรื่องมาเล่า ท่านอาจข้องใจว่าทำไมความรู้ของข้าพเจ้าไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ? ตอบว่าถ้ามารไม่มายึดอำนาจปกครอง นิพพานเป็นสุขจริง เมื่อข้าพเจ้าบรรยายไป ข้าพเจ้าก็เกิดความไม่สบายใจ หากท่านอ่านเล่มปราบมารภาค ๔ ท่านจะเห็นชัด ข้าพเจ้าจึงขอทำความเข้าใจต่อท่านผู้รู้ด้วย บัดนี้ การรบมาถึงจุดนี้แล้ว ปรากฏว่านิพพานของเราเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว นิพพานของเราเป็นสุขแล้ว ข้าพเจ้าดีใจมาก แล้วข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องให้ทราบในตอนนั้น อดใจรออีกหน่อยหนึ่ง

                ใครขัดคำสั่งมาร ? ถือว่าผู้นั้นเป็นมาร ! คำสั่งนี้กลัวกันหมด เพราะเป็นการเปลี่ยนสภาพจากภาคขาวไปเป็นภาคมาร ไม่มีใครกล้าทั้งนั้น กลัวกันทั้งนั้น ข้าพเจ้าสังเกตมานานแล้ว ทำไมพระพุทธองค์ไม่รับสั่งกับเรา ? เหตุใดพระพุทธองค์ไม่บอกความรู้แก่เรา ? เราทำงานถวายแก่พระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้รู้ แต่เราเป็นผู้ไม่รู้ เหตุใดพระองค์ไม่บอกความรู้ ? ข้าพเจ้าเกิดความอึดอัดใจเรื่องนี้มานานแล้ว ดังที่กล่าวนั้น แต่พอมาทราบเรื่องเข้า เราก็เห็นใจพระองค์ เพราะพระองค์ถูกมารเขาบังคับนั่นเอง

 ญ.           ความเสียหายที่มีแก่นิพพาน กล่าวโดยสรุป มีดังนี้

                (๑.) พระพุทธองค์ตรัสรู้ไม่ได้ การไม่ได้ตรัสรู้ ย่อมแปลว่า มรรคผลนิพพานล่มสลาย เพราะหน้าที่ของพระพุทธเจ้าคือตรัสรู้ ตรัสรู้เพื่อแสวงหาความรู้มากำจัดอวิชชา เมื่อตรัสรู้ไม่ได้ จัดว่าเป็นการเสียหายใหญ่หลวงทีเดียว ตราบใดที่ยังตรัสรู้ไม่ได้ ก็จะถูกมารบดขยี้อยู่อย่างนั้น เพราะการถูกปกครองคือหมดอิสรภาพ สูญเสียแล้วซึ่งความเป็นเอกราช  เมื่อเสียความเป็นเอกราชแล้ว นั่นคือการเสียหายในทุกอย่าง นั่นเอง แม้แต่ดวงบารมีของเรา มารเขาก็มาบังคับเอาไปได้ ข้อมูลแห่งความเสียหาย รายงานไว้ในเล่มปราบมารภาคต่าง ๆ แล้ว โปรดกลับไปอ่านดูใหม่

                (๒.) ขอกล่าวถึงความเสียหายใหญ่หลวงที่เกิดแก่นิพพานคืออะไร ? ตอบว่า ความเสียหายใหญ่หลวงอีกประการหนึ่งก็คือ มารเขาเข้ามาเปลี่ยนระบบมรรคผลนิพพานของธรรมภาคขาวเสียใหม่  นับว่าเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง  แต่เดิม

ระบบนิพพานของภาคขาวคือนิพพานเป็น  คำบาลีใช้ว่า สอุปาทิ-เสสนิพพาน หมายความว่า ผู้ได้มรรคผลนิพพานเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ คือกายมนุษย์ไม่ต้องตาย กายมนุษย์ใสเป็นแก้ว แล้วก็เข้านิพพานไปเลย กายมนุษย์ครองผ้าเหลืองบวชเป็นพระสงฆ์ ได้จังหวะที่จะได้มรรคผลนิพพาน ก็เข้านิพพานไปเลย มารเขาเห็นว่าพระพุทธเจ้ากายมนุษย์มีฤทธิ์เดช  ทำให้ยากต่อการปกครองของเขา ยากต่อการบดขยี้ อาจเป็นว่าสักวันหนึ่งพระพุทธเจ้ากายมนุษย์ต้องทำวิชาสู้เขา เขาจึงตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน นั่นคือ มารเขาคิดวิชาปกครองขึ้นใหม่ เอาวิชาที่เขาคิดได้นั้น มาบังคับพระพุทธเจ้ากายมนุษย์ ถ้าบังคับได้สำเร็จ มารเขาจะปฏิวัติระบบนิพพานให้แก่พระพุทธเจ้าภาคขาวเสียใหม่ ไม่ให้ภาคขาวเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ให้ผู้ได้มรรคผลนิพพานเข้านิพพานด้วยกายธรรม เพราะกายธรรมไม่มีกายมนุษย์รองรับ จะมีความเปราะบาง ไม่แข็งแรง เหมือนปูไม่มีกระดอง ง่ายต่อการปกครองของมารเขา มารเขาคิดอย่างนั้น จะบดขยี้อย่างไรก็ได้ จะระเบิดเอาดวงบารมีไปอย่างไร ? ก็สะดวกโยธินด้วยประการทั้งปวง

                แล้วมารเขาก็ทำได้สำเร็จ วิชาที่เขาคิดได้คือ เอาปิฎกธรรมของภาคมาร มาหุ้มดวงปิฎกของธรรมภาคขาว เพียงเท่านั้นเอง ดวงปิฎกของภาคขาวก็อ่อนกำลังลง และหมดฤทธิ์เดชไปในที่สุด ส่งผลให้พระพุทธเจ้าภาคขาวตรัสรู้ไม่ได้ แล้วมารก็เข้ามาบังคับนิพพานภาคขาวด้วยประการต่างๆ จนในที่สุด มารเขาประกาศยกเลิกระบบนิพพานของภาคขาวเสียใหม่ ต่อไปนี้ ให้พระพุทธเจ้าภาคขาวและผู้ได้มรรคผลนิพพาน เข้านิพพานด้วยกายธรรมเท่านั้น นับตั้งแต่วันนั้นมา ผู้ที่ได้มรรคผลนิพพานเข้านิพพานด้วยกายธรรมกันทั้งนั้น นับเป็นชัยชนะอันใหญ่หลวงของมารที่เขาปฏิวัติระบบนิพพานได้

                นิพพานกายธรรมนั้น หมายความว่า เข้านิพพานด้วยกายธรรม เพราะกายมนุษย์ต้องตายไปด้วยอานุภาพของดวงทุกข์และดวงสมุทัยที่มารเขานำมาใช้ปกครองมนุษยโลก มนุษยโลกตายในทุกวันนี้  เป็นเพราะดวงทุกข์และดวงสมุทัยที่มารเขาใช้ปกครองมนุษย์ ดวงทุกข์และดวงสมุทัยที่หุ้ม เห็น-จำ-คิด-รู้ นั้น ส่งผลให้มนุษย์เป็น โรค-พยาธิ-ชรา-มรณะ-ทุกข์ เรายังแก้วิชามารไม่สำเร็จ แม้เรามีพระพุทธเจ้ามาแล้วมากต่อมาก แต่ยังแก้ไม่สำเร็จ

                พวกเรามาเกิดในโลก เวียนเกิดเวียนตาย ก็เพื่อบำเพ็ญตนสร้างผลทาน-ศีล-ภาวนา ให้เกิดดวงบารมี ในชาติสุดท้ายแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ดวงบารมีของเราจะโตเต็มส่วนจนได้มรรคผลนิพพาน เราจะเข้านิพพานด้วยกายธรรมเท่านั้น ส่วนกายมนุษย์ของเราต้องตาย ทิ้งร่างไว้ในโลก เมื่อเราเข้าสู่อาณาจักรแห่งมรรคผลนิพพานแล้ว ยังไปถูกมารปกครองอีก ธาตุธรรมท่านทราบปัญหานี้เป็นอันดี จึงส่งคนของท่านลงมาเกิด เพื่อให้ทำวิชาปราบมาร เช่น ในยุคของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ดังที่เราท่านทราบกันแล้วนั้น  แต่งานปราบมารในยุคของหลวงพ่อยังทำไม่สำเร็จ หลวงพ่อก็มรณภาพไปเสียก่อน

                คำว่านิพพานกายธรรม คือการเข้านิพพานด้วยกายธรรม หลวงพ่อท่านเรียกว่านิพพานถอดกาย หรือเรียกนิพพานตาย หมายความว่า เข้านิพพานด้วยกายธรรม ถอดกายมนุษย์ไว้ในโลก เนื่องจากกายมนุษย์ตาย ถอดเอากายธรรมเข้านิพพาน คำบาลีเรียกนิพพานกายธรรม หรือนิพพานถอดกาย หรือนิพพานตาย ว่า อนุปาทิเสสนิพพาน

 ฎ.           เมื่อนิพพานตกอยู่ในสถานภาพเช่นนี้ ส่งผลต่อมนุษยโลก

                อย่างไร ?

                ความรู้เดิมของเรามีอยู่ว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นที่พึ่งของมนุษย์ พระพุทธองค์มีอานุภาพกำจัดทุกข์ กำจัดภัยและกำจัดโรค ให้แก่มนุษย์

                แต่พระพุทธองค์เกิดทุกข์ยากเนื่องจากการกระทำของมารตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างมาก คือพระพุทธองค์มาช่วยเราไม่สะดวก ความขัดข้องต่างๆ เกิดจากการกระทำของมาร นั่นเอง

                คำตอบนี้ ชัดเจนแล้ว ! ท่านขยายความเอาเองได้แล้ว

                แต่มนุษย์ก็ถูกมารปกครองด้วย ที่เราแก่ เป็นโรค เจ็บ ตาย และมีทุกข์ภัยต่างๆ เกิดจากการกระทำของมารทั้งสิ้น พระพุทธองค์ท่านประสงค์จะช่วยพวกเราอยู่แล้ว  เมื่อพระองค์ปลอดภัย เมื่อไร ? พระองค์ก็จะช่วยมนุษย์ได้เต็มมือขึ้น เรื่องสำคัญจึงมาอยู่ที่ว่า งานปราบมารที่เราทำอยู่นี้ ส่งผลให้พระพุทธองค์ปลอดภัยแล้วหรือยัง ? นี่คือประเด็นสำคัญ

                ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้ค้นคว้า เรียนให้ได้ประเด็นสำคัญถึงงานปราบมารว่า ทำมาแล้วกี่ปี ? ได้ผลงานอะไรบ้าง ? บัดนี้ ผลงานในระดับปกครองใหญ่ คือปราบมารในระดับนิพพาน ได้ผลงานอะไรไปแค่ไหนแล้ว ?

                เสร็จแล้ว ให้เรียนรู้ต่อไปว่า งานปราบมารในระดับปกครองย่อย คือปราบมารในภพ ๓ นั่นก็คือการปราบมารในสวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น รวมไปถึงปราบมารในโลกมนุษย์ของเราด้วย ได้ผลงานอะไรบ้าง ? ให้ท่านสรุปผลงานออกมาให้ได้ ให้เป็นเนื้อหาสาระออกมา

                นี่คือประเด็นสำคัญ ที่ท่านจะต้องใฝ่รู้ให้จงได้

                เพราะการบรรยายเนื้อความ ข้าพเจ้าจะกล่าวเป็นลำดับไป ตรงไหนเป็นผลงานในระดับใด ? ให้ท่านรวบรวมผลงานเป็นส่วนๆ ไปเอาเอง

                ในบทนี้ ข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่า มารปกครองนิพพานด้วย คือปกครองพระพุทธเจ้าในนิพพาน ทำให้พระพุทธองค์มาช่วยมนุษย์ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง พระพุทธองค์ทุกข์ร้อนอย่างไร ? ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ รวมทั้งจักรพรรดิและกายสิทธิ์ของภาคขาวทั้งปวง ก็ถูกมารปกครอง ได้รับความทุกข์ยากอย่างไร ? มารเขาลงโทษร้ายแรงแค่ไหน ? ข้าพเจ้าก็กล่าวแล้ว  ขอให้ท่านกลับไปอ่านตำราปราบมารภาค  ต่างๆ นั้น

                สรุปแล้ว ไม่ว่าใครก็ตาม ได้รับความทุกข์ร้อนทั่วกัน เพราะถูกมารปกครอง

                กล่าวถึงมนุษย์ คือมนุษย์เดือดร้อน ก็หวังว่าพระพุทธองค์จะมาช่วยกำจัดทุกข์ร้อนให้ได้ เพราะพระองค์เป็นที่พึ่งของเรา แต่จากการปราบมารของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็บอกแล้วว่า พระพุทธองค์มาช่วยมนุษย์ไม่ถนัด เพราะการขัดขวางของมารด้วยประการต่างๆ พระองค์อยู่ในฐานะทุกข์ยากเสียแล้ว มารกดขี่ข่มเหงพระองค์ในรูปแบบต่างๆ ตามที่ข้าพเจ้าได้รายงานผลงานไปแล้ว

                บัดนี้ งานปราบมารได้ผลมากแล้ว พระพุทธองค์เกิดความปลอดภัยมากแล้ว ส่งผลให้พระพุทธองค์มาช่วยพวกเราได้มากขึ้น ดังที่จะกล่าวต่อไป

(๒.) เมื่อแก้ไขให้นิพพานเกิดดวงธรรม ๖ ดวงได้แล้ว ทำให้งานปราบมารก้าวหน้าเป็นลำดับมา ส่งผลให้นิพพานตรัสรู้ธรรมได้อีกจนถึงกับต้นนิพพานเป็นทรงประกาศให้ วันพุธที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ (ตรงกับขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗) เป็นวันวิสาขบูชาของนิพพาน

                เป็นผลงานที่น่าปลื้มใจมาก (บันทึกเล่มที่ ๒๕ หน้า ๕๓) โดยให้ถือเอาวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันวิสาขบูชาของนิพพาน  นั่นคือ เมื่อมาถึงวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ก็ให้ถือว่า วันขึ้น ๖ ค่ำของเดือน ๗ เป็นวันวิสาขบูชาของนิพพานของปีนั้นๆ

                วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นปีแรกของวันวิสาขบูชาของนิพพาน เพราะว่าเพิ่งประกาศในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ นี้ ข้าพเจ้าได้ยินธาตุธรรมประกาศแล้ว ข้าพเจ้าก็ดีใจ !  แล้วก็เกิดความคิดหลายอย่าง เรื่องที่ท่านอยากทราบก็คือ ต้องการให้ข้าพเจ้าขยายความ ข้าพเจ้าจะขยายความอย่างไร ? นี่คือ ปัญหาใหญ่ ! ข้าพเจ้าจะขยายความดังนี้

                ทำไมจึงต้องมีวันวิสาขบูชาของนิพพานด้วย ? นี่คือคำถามที่ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าตอบ

                ข้าพเจ้าขอลำดับความให้ทราบ และตีความเรื่องวันวิสาข- บูชาของนิพพาน  ดังนี้

 ก.            วันวิสาขบูชาคืออะไร ?

                ตอบว่า วันวิสาขบูชาคือวันยกฐานะความเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีวันวิสาขบูชา ความเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่มี วันนั้นเป็นวันที่เราเห็นธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ประกอบด้วยสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ วินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เรียกวันที่เราเห็นธรรมเช่นนี้ว่าวันวิสาขบูชา นี่คือเรื่องราวการมาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในโลก แต่การตรัสรู้ในนิพพานเราไม่รู้กันเลย ! ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องนี้เลย ข้าพเจ้ารู้แต่ว่าต้องทำวิชาปราบมารตลอดไป แต่การที่ข้าพเจ้ารู้ขึ้นได้ เป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงบอก ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงบอก เราก็ไม่รู้

 ข.           เหตุใดจึงเกิดวันวิสาขบูชาของนิพพาน ?

                ทันใดที่ธาตุธรรมประกาศวันวิสาขบูชาของนิพพาน ทำให้เราทราบอะไรบ้าง ? ข้าพเจ้าขอตีความให้ทราบดังนี้

                เราต้องทราบก่อนว่า การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นมี ๒ ระดับ คือการตรัสรู้ในระดับปกครองย่อย ได้แก่การมาตรัสรู้ในโลก เป็นการมาตรัสรู้เพื่อทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้า วันที่ตรัสรู้คือวันวิสาข-บูชา เรื่องนี้เราท่านทราบตรงกัน การตรัสรู้อีกระดับหนึ่ง คือการตรัสรู้ในระดับปกครองใหญ่ ได้แก่การตรัสรู้ในนิพพาน เป็นการตรัสรู้หลังจากที่พระพุทธองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว และเข้าสู่อายตนะนิพพาน เรียกทั่วไปว่าเข้าสู่นิพพาน นั่นเอง การตรัสรู้ระดับนี้ ไม่มีใครมีความรู้เลย ? แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ ก็เพิ่งได้รู้ในคราวนี้เอง

                การตรัสรู้ในระดับปกครองใหญ่ หรือในระดับนิพพานนั้น เป็นการตรัสรู้ความรู้อีกประเภทหนึ่งเป็นความรู้ที่เรียกว่า อาส- วักขยญาณใหญ่ ก็คือตรัสรู้ตำรา พิชัยสงคราม นั่นเองเป็นการตรัสรู้วิชาของภาคปราบ ครั้นพระพุทธองค์ได้มรรคผลนิพพานเข้าจริง เหตุการณ์กลับแปรผันไป กลายเป็นว่าการตรัสรู้ในระดับปกครองใหญ่นั้น ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ! พระองค์ตรัสรู้ไม่ได้ ตั้งแต่เริ่มมีมรรคผลนิพพานเป็นต้นมาทีเดียว ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ การตรัสรู้ของธรรมภาคขาวในระดับนี้ล่มสลาย ! แต่การตรัสรู้ในระดับปกครองย่อย คือการตรัสรู้ในโลก คงดำเนินไปเป็นปกติ และเกิดมีพระพุทธเจ้าเป็นลำดับมา ดังที่เราท่านทราบนั้น เป็นความรู้ที่เราทราบตรงกัน

                กลับมาพิจารณาถึงเรื่องราวของนิพพานอีกประเด็นหนึ่งคือเหตุใดพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน  คือองค์ที่กำลังทำหน้าที่พระพุทธเจ้าอยู่ในโลกขณะนี้ ไม่ทรงทราบเรื่องราวของนิพพานเลยหรือว่า มารเขาเข้ามากดขี่ข่มเหงนิพพานของเราอย่างไร ? จนนิพพานของเราเดือดร้อนไปหมด มีแต่ยืนยันว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ทั้งนั้น ล้วนแต่กล่าวว่านิพพานเป็นสุขยิ่งทั้งนั้น เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่า มารเขาบังคับอยู่ ! พูดความจริงอะไรไม่ได้ !  มารเขาบังคับไปหมด จนกระทั่งเขาปฏิวัติระบบของนิพพานภาคขาวขึ้นใหม่ ซึ่งแต่เดิมพระพุทธเจ้าของภาคขาวเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ซึ่งนิพพานที่เราเข้าด้วยกายมนุษย์นั้น มารเขาปฏิวัติใหม่  ให้พระพุทธองค์เข้านิพพานด้วยกายธรรม เปลี่ยนระบบนิพพานของภาคขาวจากสอุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานเป็น) มาเป็นนิพพานกายธรรม คือนิพพานอนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงให้เข้านิพพานด้วยกายธรรม ไม่ให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์เช่นแต่เดิม เพราะกายมนุษย์ต้องเจ็บป่วยตาย คงเหลือแต่กายธรรม มารให้เอากายธรรมเข้านิพพาน เพื่อมารจะได้บดขยี้ง่ายดายยิ่งขึ้นนั่นเอง เพราะกายธรรมที่ไม่มีกายมนุษย์รองรับ มีความอ่อนแอเปราะบางเหมือนปูไม่มีกระดอง การที่มารสามารถเข้าบังคับพระพุทธเจ้าภาคขาว จนถึงขั้นเขาสามารถเปลี่ยนระบบมรรคผลนิพพานของเราได้ นับว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมารเขา ดังที่เคยกล่าวไว้แล้วในตอนที่ผ่านมานั้น เนื้อหาสาระมีอย่างไร ? ขอให้ท่านกลับไปอ่านทบทวนดูใหม่

                สรุปว่า ตั้งแต่พระพุทธองค์ได้มรรคผลนิพพานแล้ว คือได้เข้าสู่อายตนะนิพพานแล้ว พระองค์ไม่ได้ตรัสรู้อะไรเพิ่มเติมอีกเลย เนื่องจากถูกมารเข้ามาขัดขวางในทุกรูปแบบ มารเข้ามากดขี่ข่มเหง ทั้งยังทำโทษทารุณกรรม ตามที่เคยนำมาเสนอแล้วในหนังสือปราบมารภาคต่าง ๆ นั้น ส่งผลให้พระองค์ตรัสรู้ไม่ได้ในระดับ ปกครองใหญ

    แต่งานปราบมารนั้น ข้าพเจ้าทำมาตลอด จนมาถึงวันนี้ธาตุธรรมท่านประกาศว่า วันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ตรงกับวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นวันวิสาขบูชาของนิพพาน แปลว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในระดับปกครองใหญ่ได้แล้ว ข้าพเจ้าดีใจมากที่งานปราบมารได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ข้าพเจ้าก็คิดว่า เป็นเพราะเหตุใดหรือ ? ตอบว่าเราแก้ไขให้นิพพานมีดวงธรรม ๖ ดวงให้เกิดขึ้นได้ ตามที่กล่าวแล้วนั้น พอดวงธรรม ๖ ดวงเกิดขึ้นได้เป็น เถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด และเกิดขึ้นได้ละเอียดเข้าไปอีก เมื่อดวงธรรม ๖ ดวงของนิพพานเกิดขึ้นได้แล้ว ต่อมาไม่นานก็มาถึงเหตุการณ์วันวิสาขบูชาของนิพพาน

 ค.            วันวิสาขบูชาของนิพพานเกิดขึ้น บ่งบอกอะไรแก่เราบ้าง?

                ตอบทันที วันวิสาขบูชาของนิพพานมีขึ้นได้ เพราะพระพุทธองค์ทั้งหมดในอายตนะนิพพาน  ทั้งนิพพานเป็น(สอุปาทิเสสนิพพาน) และนิพพานกายธรรม (อนุปาทิเสสนิพพาน) ได้ตรัสรู้พร้อมกันในหลักสูตรระดับ ปกครองใหญ่ เมื่อตรัสรู้ได้แล้ว จึงเกิดวันวิสาข-บูชาของนิพพานเกิดขึ้น ตามที่ ต้นนิพพานเป็น (สอุปาทิเสส-นิพพาน) ทรงประกาศนั้น นับเป็นครั้งแรกที่มีการตรัสรู้ตั้งแต่เริ่มมีมรรคผลนิพพานมาทีเดียว การมีมรรคผลนิพพานนั้น มีความยาวนานมาแล้วเพียงใด ? เราไม่ทราบ ทราบแต่ว่านานแสนนานเหลือเกิน

                การที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ได้ เกิดจากเราทำวิชาปราบมารดับมารทั้งปวงที่มายึดอำนาจปกครอง เมื่อมารถูกดับหมดไป ก็หมดผู้กดขี่ หมดผู้มาขัดขวาง ส่งผลให้พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ได้ เมื่อตรัสรู้ได้แล้ว ก็ทำวิชาสู้กัน ทำให้พระพุทธองค์พ้นจากการปกครองของมารในทันที

                วิชาที่ทรงตรัสรู้นั้น เรียกว่า วิชาอาสวักขยญาณใหญ่ หรือตำราพิชัยสงคราม นั่นเอง ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น

(๓.)  งานปราบมารได้ผลเกินคาด ต้นธาตุของนิพพานกายธรรมประกาศต่อไปนี้มรรคผลนิพพานให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ไม่ให้เข้านิพพานด้วยกายธรรมอีกต่อไป

                คือให้กลับไปใช้มรรคผลนิพพานระบบสอุปาทิเสสนิพพานตามเดิม ไม่ให้ใช้มรรคผลนิพพานระบบอนุปาทิเสสนิพพานอีกต่อไป (บันทึกเล่มที่ ๒๕ หน้า ๖๕) ประกาศเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ ย้อนไปเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เราได้ยินข่าวดีว่า วันนั้นตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ปี ๒๕๔๓ เป็นวันวิสาขบูชาของนิพพาน ครั้นมาถึงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ ต้นธาตุของนิพพานกายธรรมท่านประกาศว่า ต่อไปนี้ผู้ได้มรรคผลนิพพานให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์เท่านั้น ไม่ยอมให้เข้านิพพานด้วยกายธรรมอีกต่อไป  นั่นคือ ให้ใช้มรรคผลนิพพานระบบสอุปาทิ-เสสนิพพานเช่นเดิม นั่นเอง

                ข้าพเจ้าได้ยินแล้ว เกิดความปลื้มใจ ! ที่งานปราบมารได้ผลงานดีเด่นเป็นลำดับมา เรามีหน้าที่ทำวิชา และธาตุธรรมท่านมีหน้าที่ประเมินผลงาน ได้ผลงานอะไร ? ธาตุธรรมท่านก็บอกให้ทราบมาตลอด วันนี้เราได้ผลงานเช่นนี้ ดีใจกันทั่ว ! ที่ว่าดีใจนั้น ก็คือพระพุทธองค์ทรงปลอดภัยทั้งหมด และจักรพรรดิกายสิทธิ์ของภาคขาวทั้งหมด ปลอดภัยหมดแล้ว ไม่ต้องอยู่ใน ปกครองของมารอีกต่อไป กว่าจะได้ผลงานนี้ ใช้เวลารบนานกี่ปี ? ปราบมารวันแรกคือวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ นับถึงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ คิดหยาบๆ ก็ ๑๖ ปีกว่า ฉะนั้น สรุปว่าใช้เวลารบในระดับปกครองใหญ่ใช้เวลา ๑๖ ปีเศษ และตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นต้นมา เป็นการรบทั้งในปกครองใหญ่ คือรบในนิพพาน และมารบในปกครองย่อย คือรบในภพ ๓ ด้วย ควบคู่กันมา ซึ่งแต่ก่อนเป็นการรบในปกครองใหญ่สถานเดียว เพิ่งจะเดินวิชามารบในภพ ๓ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นต้นมา

                เหตุใดจึงเพิ่งมารบในภพ ๓ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นต้นมา ? ยังตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไร ? บอกได้แต่ว่าในการเดินวิชานั้น จะเป็นโดยอัตโนมัติ หากในปกครองใหญ่ยังไม่เสร็จ จะเคลื่อนมาในภพ ๓ ได้อย่างไร ? การเดินวิชาจะต้องรวมรู้รวมญาณกัน ของเราและนิพพานทั้งหมด และทั้งจักรพรรดิทั้งหมดเข้าด้วยกัน การจะเดินวิชาไปในทิศทางใด ? จะเป็นทิศทางเดียวกันหมดเป็นอัตโนมัติ หากจะเคลื่อนย้ายมาในภพ ๓ ก็ต้องมาด้วยกันทั้งหมด เพราะเป็นอัตโนมัติ เมื่อเดินวิชารบในภาคนิพพานเสร็จแล้ว ก็เคลื่อนย้ายมารบในภพ ๓ ผลงานการรบในภพ ๓ ยังไม่มีผลงานที่ชัดเจนในระยะนี้ ผลงานปราบมารในภพ ๓ มีอย่างไร ? จะได้รายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป

งานปราบมารบรรลุเป้าหมายไปส่วนหนึ่งแล้วส่วนงานภายในปกครองย่อยยังไม่บรรลุเป้าหมาย

                ขอบรรยายให้ทราบดังนี้ คืองานปราบมารมี ๒ ระดับ คือระดับปกครองใหญ่ ได้แก่การปราบมารในระดับนิพพาน เพราะมารไปปกครองพระพุทธองค์ในนิพพานด้วย ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น บัดนี้ งานปราบมารมาถึงจุดที่ธาตุธรรมท่านประกาศว่า วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ (ตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗) ให้ถือว่าวันนี้เป็นวันวิสาขบูชาของนิพพาน เพราะเป็นวันที่พระพุทธองค์ทั้งนิพพานเป็น (สอุปาทิเสสนิพพาน) และนิพพานกายธรรม (อนุ-ปาทิเสสนิพพาน) ได้ตรัสรู้พร้อมกัน ส่งผลให้พระองค์พ้นจากการปกครองของมารตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไป

                ครั้นต่อมาถึงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นวันที่ธาตุธรรมท่านประกาศให้ใช้ระบบมรรคผลนิพพานใหม่ คือให้ผู้ได้มรรคผลนิพพานต่อไปนี้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ไม่ให้เข้านิพพานด้วยกายธรรมอีกต่อไป นั่นคือให้ใช้มรรคผลนิพพานระบบนิพพานเป็น (สอุปาทิเสสนิพพาน) ตามเดิม ไม่ให้ใช้ระบบนิพพานกายธรรม  (อนุปาทิเสสนิพพาน) อีกต่อไป เพราะอนุปาทิเสสนิพพานเป็นระบบของมาร ไม่ใช่ระบบของธรรมภาคขาวมาแต่เดิม ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว

                นอกจากมารจะปกครองพระพุทธองค์ในนิพพาน ที่เราเรียกว่าระดับปกครองใหญ่แล้ว มารเขาปกครองอีกระดับหนึ่ง คือปกครองในระดับภพ ๓ นั่นคือมารปกครองอรูปพรหม ๔ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น และมนุษยโลกด้วย การปกครองในระดับภพ ๓ นี้ เรียกว่าระดับปกครองย่อย ดังนั้นมนุษย์ทั้งโลกเดือดร้อนเพราะถูกมารปกครอง กินความไปถึงสวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น เดือดร้อนไปด้วย และยังกินความไปถึงจักรพรรดิและกายสิทธิ์ทั้งปวงด้วย แปลว่ามารปกครองทั้งหมด ก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกัน

                กล่าวถึงทุกข์ร้อนที่มนุษย์ในโลกยังประสบพบอยู่คืออะไร ? เรื่องนี้เราทราบตรงกัน คือ ชรา (ความแก่) โรคา (เป็นโรค) มรณะ (ตาย) และทุกข์ภัยต่าง ๆ  โดยที่มารเขาทำวิชาปกครองไว้ นั่นคือ วิชาทุกข์และสมุทัย ซึ่งวิชาทุกข์และสมุทัยนี้ เรายังแก้วิชาของมารไม่ได้ ส่งผลให้เรายังแก่ เป็นโรค และตายกันอยู่ หากแก้วิชาของเขาได้ เมื่อถึงคราวที่เราได้มรรคผลนิพพาน เราก็เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ในระหว่างที่เรายังไม่ได้มรรคผลนิพพาน เราก็ยังสร้างดวงบุญบารมีกันอยู่ในโลก เมื่อหมดอายุก็ทิ้งร่างกาย แล้ววิญญาณก็ไปสู่สวรรค์ ไม่เรียกว่าตาย แต่เรียกว่าหมดอายุขัย

                คำว่า ตาย ถูกนำมาใช้ในยุคที่มนุษย์มี เห็น-จำ-คิด-รู้ เป็นทุกข์สมุทัย ในยุคที่มนุษย์มี เห็น-จำ-คิด-รู้ เป็นทาน-ศีล-ภาวนา ไม่ใช้คำว่าตาย แต่ใช้คำว่าหมดอายุขัย พอมาถึงชาติสุดท้ายแห่งการเวียนว่าย เพราะดวงทาน-ศีล-ภาวนา โตได้เกณฑ์ที่จะได้มรรคผลนิพพาน กายมนุษย์จะไม่หมดอายุขัย กายมนุษย์จะสวยขึ้นและใส แล้วก็เข้านิพพานไปเลย สรุปแล้วกายมนุษย์ในชาติสุดท้ายแก่อย่างเพชรพลอย ส่วนในชาติที่ยังเวียนว่ายอยู่นั้น กายมนุษย์ยังแก่เหมือนพืชผัก คือผุพัง เน่าเปื่อย

                กลับมาพิจารณาถึงทุกข์ร้อนที่ชาวสวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น และอรูปพรหม ๔ ชั้นได้รับคืออะไร ? เรื่องนี้พวกเราไม่ค่อยทราบกัน ทั้งนี้หมายรวมถึงจักรพรรดิและกายสิทธิ์ที่อยู่ในภพ ๓ ทั้งหมดด้วย ว่าทุกข์ร้อนที่เขาได้รับคืออะไร ? เราตอบได้ทันที ไม่ยากอะไรเลย จงดูว่าพระพุทธองค์ในนิพพานและจักรพรรดิกายสิทธิ์ในนิพพาน มารเขาทำให้พระองค์เดือดร้อนอย่างไร ? มารเขามาทำอะไรอย่างไร ? เขาก็ทำแก่สวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น อย่างนั้น แม้กระทั่งจักรพรรดิและกายสิทธิ์ที่อยู่ในนั้นด้วย มารเขาก็กระทำอย่างเดียวกัน รวมความว่า ไม่ว่าใครที่อยู่ในภพ ๓ มารเขาปกครองทั้งหมด เขาให้ทุกข์ร้อนได้ทั้งหมด นี่คือข้อพิจารณาทั่วๆ ไป เมื่อดูไปๆ มารเขาไม่ดุดันเท่าไร ? หากเขาต้องการดวงบารมีเขาก็มาระเบิดเอาไปได้ เรียกว่าหวานหมู ขอกล่าวแค่นี้ก่อน รวมความว่าภพ ๓ อยู่ในปกครองของมาร ก็ต้องเดือดร้อนกันทั้งหมด

                แต่งานปราบมารในปกครองย่อย คือการรบในภพ ๓ ในเบื้องต้นนี้ ยังไม่มีอะไรเด่นชัด บอกได้แต่ว่า การรบในปกครองใหญ่บรรลุเป้าหมาย จนถึงเกิดวันวิสาขบูชาของนิพพาน และธาตุธรรมท่านประกาศให้ใช้ระบบมรรคผลนิพพานเป็นแบบสอุปาทิเสสนิพพานนั้น นับว่าเป็นโชคดีของเราแล้ว พระพุทธองค์และจักรพรรดิปลอดภัยหมดแล้ว มารปกครองพระองค์ไม่ได้แล้ว พระองค์ก็จะมาช่วยเรารบในระดับปกครองย่อยต่อไป

                ดีใจกันทั้งนั้น ! ดีใจกันทั่ว ! ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย ข้าพเจ้าดีใจจนเนื้อเต้น

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธาตุในธรรม คือ ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ปกครองใหญ่ในนิพพาน และให้เป็นผู้ปกครองในภพ ๓ ด้วย ตั้งแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓

                (บันทึกเล่ม ๒๕ หน้า ๑๔๐) การมอบอำนาจปกครองนั้นกระทำโดยต้นธาตุนิพพานกายธรรมกล่าวมอบอำนาจก่อน ต่อมา ต้นใหญ่ ท่านก็กล่าวมอบ จากนั้น ต้นนิพพานเป็น ท่านก็กล่าวมอบอำนาจ ทั้งในฐานะต้นธาตุและผู้ปกครองใหญ่ของนิพพานเป็น ต่อจากนั้น ต้นธาตุนิพพานกายธรรมก็กล่าวมอบอำนาจปกครองในภพ ๓ ให้อีก แล้วผู้ปกครองของอรูปพรหม ๔ ชั้น ก็กล่าววาจามอบอำนาจ เสร็จแล้วผู้ปกครองพรหม ๑๖ ชั้น ก็กล่าววาจามอบอำนาจ จากนั้น ผู้ปกครองสวรรค์ ๖ ชั้น ก็ออกมากล่าววาจามอบอำนาจ ส่วนอำนาจปกครองมนุษยโลกนั้น ต้นธาตุนิพพานกายธรรมเป็นผู้กล่าวมอบอำนาจ

                เป็นอันว่า ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู เป็นผู้ปกครองใหญ่ในนิพพานทั้งหมด ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรม และเป็นผู้ปกครองใหญ่ภพ ๓ ด้วย คือเป็นผู้ปกครองอรูปพรหม ๔ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น รวมทั้งมนุษยโลกด้วย ตั้งแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เป็นต้นมา ข้าพเจ้ามีความตกใจมาก ! ตกใจในประเด็นที่ว่า นี่คืออะไรกัน ? นี่คือเหตุการณ์อะไร ? เป็นเหตุการณ์ซึ่งๆ หน้า ที่เราไม่ทราบระแคะระคายมาก่อนเลย จู่ๆ ธาตุธรรมท่านก็ประกาศออกมาเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงตกใจมาก ! เพราะอำนาจปกครองในธาตุในธรรมนั้น ไม่ใช่ตำแหน่งธรรมดา เป็นเรื่องของความรับผิดชอบ เป็นเรื่องของหน้าที่การงาน เป็นงานหนัก ! เป็นงานใหญ่ ! ธาตุธรรมระดับสูงทรงมีความคิดอย่างไร ? ทรงมีเหตุผลอะไร ? นี่คือความคิดของข้าพเจ้า เมื่อคิดแล้ว ข้าพเจ้าก็ตอบคำถามไม่ได้ ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารมานานปี ได้รู้เห็นเรื่องราวของนิพพาน ได้รู้ปัญหา ได้รู้ถึงความรับผิดชอบ ได้รู้ถึงความยากลำบาก ได้รู้เห็นฤทธิ์เดชของมาร ได้รู้ถึงความยากเย็นของการทำวิชาปราบมาร ได้รู้ถึงความยากแห่งการแสวงหาวิชา ความรู้มากๆ แต่ดับมารไม่ได้ ความรู้นั้นก็ใช้การไม่ได้ ความรู้อย่างนั้น รกสมองของเรา ไม่มีประโยชน์เลย !

                นี่คือ ความรู้สึกของข้าพเจ้าที่ได้มาพบเหตุการณ์สำคัญคราวนี้ ไม่ได้ดีใจเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นประธานาธิบดีอย่างในโลกของเรา แต่ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู ท่านคงดีพระทัย ที่ทรงได้เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจสูงสุด ไม่มีใครโตไปกว่าพระองค์อีกแล้ว ไม่มีใครมีอำนาจเท่าพระองค์อีกแล้ว นี่คือ ความคิดของข้าพเจ้า ว่าง ๆ ก็จะลองถามพระองค์ดู พระองค์จะทรงตอบแก่ข้าพเจ้าอย่างไร ? แต่การที่พระองค์มาทำวิชาปราบมารกับข้าพเจ้านั้น ก็ด้วยเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคู่บารมีหลบไม่ได้ และก็หนีไม่พ้น เป็นเรื่องจำยอม เพราะทรงทราบดีว่า ไม่เคยมีใครชนะมารเลย แต่ที่มาทำวิชารบกับมารก็ด้วยความจำเป็น ตามเหตุผลที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้

                รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ทูลถามพระองค์ว่า ดีพระทัยหรือไม่ที่ธาตุธรรมท่านมอบให้เป็นผู้ปกครองใหญ่ในธาตุธรรมทั้งหมดและในภพ ๓ ด้วย ? ทรงตอบตรงกันเหมือนกับนัดหมายกันไว้ทีเดียว ทรงกล่าวว่า เป็นงานใหญ่ เป็นภาระอันหนัก ตั้งแต่อดีตมาแล้ว ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ ทรงกล่าวสั้น แต่ได้ความ ต้นปราบท่านบอกว่า เหตุการณ์เช่นนี้ยังไม่เคยมีมาในอดีตเลย ทำให้เราได้รู้ว่า เรื่องในธาตุในธรรมนั้น เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน เพิ่งปรากฏเป็นครั้งแรกคือครั้งนี้

 ก.            เหตุใดธาตุธรรมจึงทรงมอบอำนาจปกครองให้แก่องค์ต้น                     ปราบ ตรีภพ และหยกชมพู ?

                งานปราบมารก้าวหน้ามาเป็นลำดับ โปรดอ่านหนังสือปราบมารภาค ๑-๔ ให้ละเอียดแล้วจะทราบ ให้ท่านดูประวัติของ ตรีภพและหยกชมพู และดูประวัติของ ต้นปราบ เพราะข้าพเจ้านำเสนอไปแล้ว เรื่องย่อมีอยู่ว่า แต่แรกข้าพเจ้าก็ทำวิชากับ ตรีภพ ต่อมาได้พบ หยกชมพู ท่านก็มาทำวิชาด้วย โดยทิ้งเรือนของท่านมา เรือนของท่านเป็น ก้อนหยกสีชมพู ท่านมาอยู่กับเรือนของ ตรีภพ ต่อมาอีกระยะหนึ่ง ต้นปราบ ท่านเสด็จมา พอ ต้นปราบ เสด็จมา เกิดเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าต้องเสียใจมาก จำได้ว่า อยู่ดีๆ หลวงพ่อท่านก็วางมือไป  ถวายงานปราบมารแก่ ต้นปราบ ข้าพเจ้าจึงเสียใจ เพราะอะไรหรือ ? ก็เพราะเราคุ้นเคยกับหลวงพ่อมานาน เรายังไม่คุ้นกับ ต้นปราบ นั่นเอง งานปราบมารดำเนินสืบต่อมา  กี่ปีก็จำไม่ได้แล้ว  ต่อมาธาตุธรรมสถาปนาเลื่อนฐานะของ ตรีภพและหยกชมพู ให้มีฐานะเทียบ ต้นปราบ แปลว่าธาตุธรรมท่านหมายตาไว้แล้ว มีผลงานเข้าตากรรมการเป็นลำดับมา

                ครั้นมาถึงวันดีคืนดี คือวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ ธาตุธรรมท่านก็ประกาศมอบอำนาจให้ ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู เป็นผู้ปกครองใหญ่ ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ธาตุธรรมท่านมีความคิดอย่างไร ? มีแผนการณ์อย่างไร ? มีเหตุผลอะไร ? ขอให้ท่านเข้ากายธรรมไปศึกษาเรียนรู้เอาเองในอายตนะนิพพาน ท่านก็จะทราบเรื่องละเอียด

 ข.           ธาตุธรรมท่านมอบอำนาจแก่ข้าพเจ้าด้วยหรือเปล่า ?

                ข้าพเจ้าบรรยายอย่างเปิดใจไม่ได้ ข้าพเจ้าขอพูดแต่ว่า ละครเรื่องปราบมาร ข้าพเจ้าทำมาตลอดและต้องทำต่อไป เพราะธาตุธรรมท่านบังคับมาแต่ต้นแล้ว ข้าพเจ้ารับใช้มาตลอด แม้ข้าพเจ้าไม่เต็มใจ แต่ข้าพเจ้าก็ทำถวาย ข้าพเจ้าถือว่าตอบคำถามแล้ว พูดได้แค่นี้ ถ้าท่านอยากรู้ละเอียด ก็ขอให้เข้ากายธรรมไปเรียนในอายตนะนิพพานเอาเอง  ไม่ต้องมีจดหมายถาม และไม่ต้องโทรศัพท์ถามอีก  เพราะข้าพเจ้าตอบข้อถามของท่านแล้ว ตอบได้แค่นี้ ก็คือแค่นี้ ถ้าอยากรู้ละเอียดจริงๆ ก็ต้องถามคุณชูชัย ศรีสุชินวงศ์ (เภสัชกร) เขาคงเล่าเรื่องได้ เพราะข้าพเจ้ามีอะไรมักคุยกับเขา เขาเป็นผู้อ่านบันทึกทั้งหมด เขาทราบเรื่องทั้งหมด

                การที่ข้าพเจ้าบรรยายอย่างเปิดใจไม่ได้ ก็เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องสูงสุด จนข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่ควรที่เราจะไปรู้ไปเห็น เพราะเราไม่มีหน้าที่ หน้าที่ของเราก็คือรับใช้ธาตุธรรม ทรงใช้ให้ทำอะไร ?  เราก็ทำ  ทรงให้ปราบมารเราก็กำลังทำอยู่  ทรงมอบหมายอะไรมา ? เราหลบไม่พ้นอยู่แล้ว ทุกเรื่องไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ ? เรารับเละอยู่แล้ว ทุกวันนี้ข้าพเจ้าหนักใจ

สรุปเหตุการณ์วันสำคัญที่บ่งบอกว่างานปราบมารได้ผลเกินคาด ซึ่งเราต้องจดจำ คือวันอะไรบ้าง?

                ๑. วันวิสาขบูชาของอายตนะนิพพาน ตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ของทุกปี ปีแรกนี้ตรงกับวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ ปีต่อไปจะตรงกับวันที่เท่าไร ? ก็ให้ถือวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ เป็นเกณฑ์ เมื่อถึงวันสำคัญวันนี้ ให้เราทำการกุศลอะไรก็ได้ เหมือนกับวันวิสาขบูชาในทางศาสนาในโลกของเรา ให้ระลึกถึงจักรพรรดิสำคัญที่ทำวิชาปราบมาร จนถึงขั้นพระพุทธองค์ในนิพพานทั้งหมด ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรม ได้ตรัสรู้วิชาอาสวักขยญาณ-ใหญ่ ส่งผลให้พระพุทธองค์พ้นจากการปกครองของมาร ตั้งแต่มีมรรคผลนิพพานของภาคขาวเป็นต้นมา พระพุทธองค์เพิ่งได้ตรัสรู้วิชาในระดับปกครองใหญ่ในวันนี้เป็นวันแรก นั่นคือ ให้ระลึกถึง ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู เป็นอารมณ์ แล้วจะเกิดมงคลแก่ตัวเรา

                ๒. วันประกาศใช้ระบบมรรคผลนิพพานของภาคขาว ตรงกับวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ ปีต่อไปก็ให้ถือเอาวันที่ ๒๑ มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันประกาศใช้ระบบนิพพานของภาคขาวให้เข้าอายตนะนิพพานด้วยกายมนุษย์ ประกาศแก่ผู้ได้มรรคผลนิพพานนับจากนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้ผู้ได้มรรคผลนิพพานเข้านิพพานด้วยกายธรรมอีกต่อไป นั่นคือให้ใช้ระบบนิพพานแบบสอุปาทิเสส-นิพพานตามเดิม  เพราะระบบนิพพานแบบสอุปาทิเสส-นิพพานนั้น เป็นระบบของภาคขาวมาแต่เดิม เมื่อวันสำคัญนี้เวียนมาถึง ให้ท่านกระทำการกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วระลึกถึงจักรพรรดิสำคัญคือ ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู ที่ทำวิชาปราบมารได้สำเร็จ ดับมารได้หมดจนถึงขั้นธาตุธรรมท่านประกาศระบบมรรคผลนิพพานขึ้นใหม่ แล้วจะเกิดมงคลแก่ตัวเรา

                ๓. วันมอบอำนาจปกครองใหญ่ ตรงกับวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ ในปีต่อๆ ไปให้ถือเอาวันที่ ๓๑ สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญ คือ เป็นวันมอบอำนาจปกครองใหญ่ วันนี้เป็นวันที่อายตนะนิพพานทั้งหมด  ทั้งนิพพานเป็นและนิพพานกายธรรม  มอบอำนาจปกครองใหญ่ให้แก่ ต้นปราบ ตรีภพ หยกชมพู รวมทั้งอำนาจปกครองในภพ ๓ ด้วย คือมอบอำนาจปกครองทั้งระดับนิพพานและภพ ๓ ทั้งหมด นั่นคือ อำนาจปกครองในอายตนะ-นิพพาน รวมทั้งอำนาจปกครองในอรูปพรหม ๔ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น และมนุษยโลกด้วย เมื่อวันสำคัญคือวันที่ ๓๑ สิงหาคม ของทุกปีเวียนมาถึง ให้ท่านประกอบการกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเจริญภาวนาก็ได้ แล้วระลึกถึง ต้นปราบ ตรีภพ และหยกชมพู ที่ท่านทำวิชาปราบมารมาตลอด จนถึงขั้นธาตุธรรมมอบอำนาจให้ แม้ตัวเราเองก็อยู่ในปกครองของท่าน ท่านดูแล ท่านปกป้องมาร ไม่ให้มารมารบกวนเรา มนุษยโลกทั้งหมดต้องนึกถึงท่านเพราะท่านเป็นผู้ปกครองเรา เราอยู่ในปกครองของท่าน แล้วจะเกิดมงคลแก่ตัวเรา หากเราไม่ระลึกถึง ก็เท่ากับว่าเรานี้ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย แล้วจะหามงคลจากที่ไหนมาให้แก่ตัวเรา

กรณีที่ภาคขาวประกาศใช้ระบบมรรคผลนิพพานให้กลับไปใช้แบบสอุปาทิเสสนิพพานนั้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากเพราะเหตุใด ?

                เหตุผลที่ธาตุธรรมประกาศให้ใช้ระบบมรรคผลนิพพานเป็นระบบสอุปาทิเสสนิพพานก็เพราะธาตุธรรมท่านเห็นว่า มารในระดับปกครองใหญ่หมดสิ้นแล้ว จึงไม่มีมารที่จะมาปกครองนิพพานอีก ดังนั้น จึงให้กลับไปใช้ระบบมรรคผลนิพพานแบบสอุปาทิเสสนิพพานตามเดิม เพราะระบบสอุปาทิเสสนิพพานนั้น เป็นระบบของภาคขาวมาแต่ต้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราก็มาดูความเป็นไปได้ว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ตามเดิม ?

                ตอบว่า เป็นไปได้ ! เพราะเหตุว่า เมื่อไม่มีมารแล้ว ภาคขาวเป็นผู้ปกครองทั้งหมด เป็นผู้ทำกำเนิดเดิมเอง อายุขัย วรรณะ สุขะ พละ  เป็นธาตุเป็นธรรมเป็น  มารเขาจะเอาวิชาของเขามาหุ้ม-เคลือบ-เอิบ-อาบ-ซึม-ซาบ-ปน-เป็น-สวม-ซ้อน-ร้อยไส้ ไม่ได้ นี่คือความเป็นไปได้ แต่ถ้ายังมีมารอยู่ และมารเขายังชนะภาคขาวเหมือนอดีตที่แล้วมา ความเป็นไปได้ยังหวังไม่ได้ นี่คือเหตุผล สรุปแล้ว อะไรทุกอย่างอยู่ที่ใครเป็นผู้ปกครองกำเนิดเดิม ! ใครเป็นผู้ชนะ ? ผู้นั้นก็เป็นผู้ปกครอง หลักความรู้มีอยู่อย่างนี้ ท่านต้องตีความให้แตก

                ทำไมเราจึงต้องเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ? มีความจำเป็นอะไรหรือ ? ความรู้ประเด็นนี้เราไม่ต้องพูดกันอีกแล้ว เพราะข้าพเจ้าบรรยายมาตลอดแล้ว ท่านเข้าใจแล้ว หากไม่เข้าใจ ต้องกลับไปค้นคว้าอ่านใหม่

                สรุปว่า การที่ธาตุธรรมประกาศให้ใช้ระบบมรรคผลนิพพาน เป็นแบบสอุปาทิเสสนิพพานนั้น เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แล้ว

พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่าไม่กลัวมารแล้วเป็นมงคลหูที่ข้าพเจ้าดีใจอย่างยิ่ง

                ในฐานะที่ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมาร ข้าพเจ้าก็ดีใจ ! แต่ท่านที่ไม่มีส่วนในงานทำวิชา ท่านก็ไม่ได้บารมีสำคัญในสงครามใหญ่คราวนี้ น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้มีโอกาสได้ร่วมการกุศลกับข้าพเจ้า แม้เงินบาทเดียวท่านก็ไม่เคยส่งไป

                (บันทึกเล่มที่ ๒๕ หน้า ๑๔๔) นิพพานเบื้องต้นจำนวน ๑๐ นิพพาน พระพุทธองค์ทรงกล่าวให้ข้าพเจ้าได้ยินว่า พระองค์ไม่กลัวมารอีกต่อไป ข้าพเจ้าได้ยินก็เกิดความดีใจ เพราะทำวิชาปราบมารมานานปีแล้ว คำกล่าวนี้ทำให้ข้าพเจ้าดีใจ บ่งบอกว่างานปราบมารถึงเป้าหมายสำคัญแล้ว เมื่อนิพพานเบื้องต้นทรงรับสั่งเช่นนี้ นิพพานลึกๆ ที่ละเอียดเข้าไป เราก็ไม่ติดใจ เพราะพระองค์ก็จะทรงกล่าวยืนยันอย่างเดียวกัน

                วันนี้ตรงกับวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๓ วันนี้เป็นวันอานิสงส์ใหญ่ เป็นวันบุญใหญ่ ที่ข้าพเจ้าได้อดทนทำวิชาปราบมารมาตลอด ข้าพเจ้าระลึกถึงคณะวิทยากรวิปัสสนาจารย์ที่ข้าพเจ้าสร้างมา เขาเหล่านั้นไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ ระลึกถึงท่านที่มีอุปการะที่ส่งเงินไปร่วม ท่านทั้งปวงได้บุญใหญ่ได้บารมีใหญ่ เสียดายที่หลายท่านไม่มีส่วนร่วมเลย แม้เงินบาทเดียวท่านก็ไม่เคยส่งไปร่วม แปลความว่าท่านไม่มีวาสนาบารมีที่จะได้บุญใหญ่บารมีใหญ่ในสงครามใหญ่ ที่ข้าพเจ้าต้องทำสงครามใหญ่กับมารในคราวนี้ บัดนี้งานปราบมารบรรลุเป้าหมายพอสมควรแล้ว แม้ใครไม่ได้ร่วมเลย ก็ชนะด้วย แม้ใครไม่ช่วยอะไรเลย ก็ชนะด้วย แม้คนที่เกลียดชังข้าพเจ้า เขาก็ชนะด้วย แต่ว่ายังชนะไม่ตลอด การรบยังต้องทำต่อไป จะสิ้นสุดการรบเมื่อไร ? ยังบอกไม่ได้

                กลับมาพิจารณาคำกล่าวของพระพุทธองค์ ที่ทรงกล่าวว่าไม่กลัวมาร ว่ามีความหมายอย่างไร ?

 ก.            เรื่องราวแต่เดิมมาที่เราเรียนรู้ได้ คืออะไร ?

                แต่แรกที่เกิดมรรคผลนิพพานของภาคขาวนั้น ระบบนิพพานเป็นแบบสอุปาทิเสสนิพพาน คือเข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ เหตุการณ์ในชั้นต้น  ทำท่าว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ? มารก็อยู่ส่วนมาร และธรรมภาคขาวก็อยู่ส่วนของธรรมภาคขาว ไม่กระทบกระทั่งกัน ต่อมามารเขาได้โอกาสเหมาะ เพราะภาคขาวคืออู่ข้าวอู่น้ำของเขา เขาทำวิชายึดอำนาจปกครองทันที มารเขาชนะ จึงเปลี่ยนระบบมรรคผลนิพพานของภาคขาวขึ้นใหม่   เปลี่ยนจากระบบสอุปาทิ-

เสสนิพพานมาเป็นระบบอนุปาทิเสสนิพพาน ไม่ให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์อีกต่อไป ให้เข้านิพพานด้วยกายธรรม เพื่อให้การปกครองบดขยี้ง่ายกว่าแต่เดิม ดังที่เคยกล่าวมาแล้วนั้น

 ข.           การปกครองใช้วิธีบังคับทุกรูปแบบ

                มารเขาเข้าบังคับได้หมด นอกจากจะระเบิดเอาดวงบารมีไปได้แล้ว ยังออกคำสั่งบังคับสารพัด ใครขัดคำสั่ง ? เขาก็เอาไปลงโทษ จะเห็นข้อมูลทั้งปวงตามที่ได้เสนอไปแล้วในหนังสือปราบมารทุกภาค สรุปว่า เอาพระพุทธองค์และจักรพรรดิไปทำโทษ เอาไปกักขัง ในหลายรูปแบบ ประการสำคัญที่กลัวกันมากก็คือ ใครขัดคำสั่งเขา ? มารเขาถือว่าธาตุธรรมได้เปลี่ยนแปลงเป็นธาตุธรรมของมารไปแล้ว โดยเขาถือว่า การขัดคำสั่ง การหลบหลีก การตระบัดสัตย์ การกลับกลอกเป็นธรรมของภาคมาร ใครเข้าเกณฑ์นี้ถือว่าเป็นภาคมาร กรณีนี้เองที่กลัวกันมาก ! ทำให้พระพุทธองค์ไม่กล้าทำอะไรเลย ! เพราะมันเข้ากฎเกณฑ์ของมารเขา ข้าพเจ้าดูเหตุการณ์มานานปี เหตุใดพระพุทธองค์ไม่ทรงรับสั่งกับเรา ? เหตุ-ใดพระพุทธองค์ไม่ค้นวิชา ? เหตุใดพระองค์ไม่บอกวิชาแก่เรา ? เป็นความข้องใจของข้าพเจ้ามาเป็นเวลา ๑๐ กว่าปีทีเดียว

                ต่อเมื่องานปราบมารบรรลุเป้ามาถึงจุดหนึ่ง ความข้องใจของเราก็เริ่มคลี่คลาย เพราะเราใช้วิธีสังเกตเอา ใช้วิธีดูเอาเอง ต่อเมื่อเหตุการณ์รบมาถึงปีที่ ๑๕ เราก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นบ้าง

 ค.            งานปราบมารทำมาจนถึงกับพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า

                ไม่กลัวมารแล้ว

                แปลว่า งานปราบมารทำมาถึงขั้นบรรลุเป้าหมายแล้ว บัดนี้ มารถูกดับไปมากแล้ว พระพุทธองค์สามารถตรัสรู้ได้แล้ว ทรงมีขวัญและกำลังพระทัยดีแล้ว จึงทรงกล่าวเช่นนั้นว่า ไม่กลัวมาร นี่คือความดีใจของข้าพเจ้า

                นี่คือบุญใหญ่ นี่คืออานิสงส์ใหญ่ ขอให้คณะวิทยากรของข้าพเจ้าทุกท่านยินดีด้วย ถือว่าท่านร่วมสร้างบารมีกับข้าพเจ้า ขอให้ทุกท่านที่เคยส่งเงินไปร่วมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าเป็นเงินมากหรือน้อย ถือว่าท่านได้ร่วมบารมีกับข้าพเจ้าแล้ว เสียดายที่หลายท่านไม่ได้ร่วมกับข้าพเจ้าเลย  แม้แต่เงินเพียงบาทเดียว ทำไมจึงอับโชคปานนั้น? ทุกท่านน่าจะได้ร่วมงานสำคัญนี้กับข้าพเจ้าบ้าง

ข้าพเจ้ายังได้เขียนตำราวิชาธรรมกาย และสร้างทีมวิทยากรรณรงค์สอนวิชาธรรมกายไปทั่วประเทศด้วย ขอเชิญผู้มีบารมีธรรมมาร่วมงานกับข้าพเจ้าเถิด

                ข้าพเจ้าได้สร้างความอัศจรรย์ไว้ ๓ อย่าง ที่ว่า ๓ อย่างนั้นคืออะไร ? ความอัศจรรย์ทั้ง ๓ อย่างมีดังต่อไปนี้

 ๑.           ทำงานวิชาปราบมาร

                ผลงานปราบมารที่นำเสนอไปแล้ว เป็นหนังสือเล่มโตรวมทั้งเล่มนี้ คือปราบมารภาค ๑-๒-๓-๔ เล่มนี้เป็นเล่มปราบมารภาค ๕ ขอให้ทุกท่านโชคดีได้อ่านกันให้ทั่วเถิด

 ๒.          เขียนขยายความวิชาธรรมกายทุกหลักสูตร

                ตั้งแต่หลักสูตรง่ายจนถึงหลักสูตรยาก หลวงพ่อค้นคว้าวิชาธรรมกายไว้กี่หลักสูตร ? ข้าพเจ้านำมาเขียนขยายความทั้งหมด เพราะตำราที่หลวงพ่อรวบรวมไว้นั้น เป็นทฤษฎีคือเป็นปริยัติยังไม่ง่ายต่อการปฏิบัติ ข้าพเจ้านำมาเขียนขยายความให้ง่ายเข้า แล้วนำสู่วิธีเดินวิชา ให้ปฏิบัติได้ ให้ฝึกได้ เขียนทุกบท ไม่เว้นเลย ตั้งแต่บทที่ ๑ จนถึงบทสุดท้าย ดังนั้นวิชาธรรมกายไม่ยากอีกต่อไป

                โปรดเข้าใจว่าวิชาธรรมกายคือวิชาที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุ เป็นวิชาที่ยืนยันถึงความเป็นพระพุทธเจ้า หากไม่บรรลุวิชานี้ ถือว่ายังไม่เลื่อนฐานะเป็นพระพุทธเจ้า วิชาธรรมกายคือทางเดินวิชาของมรรคผลนิพพาน เรียนยาก ! เข้าใจได้ยาก ! การเรียนขึ้นอยู่กับโชควาสนา วางรากฐานไม่ดี ! ความรู้ก็เพี้ยน ! เมื่อเพี้ยนแล้ว ก็เพี้ยนตลอดไป นี่คืออันตรายของผู้เรียน ต้องวางรากฐานให้ถูกให้เที่ยงตรงเข้าไว้ อย่าเพ้อฝัน !

                เวลานี้ข้าพเจ้าเกิดความเสียใจว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด ? ฟังวิชาของเขาแล้ว ฟังความรู้ของเขาแล้ว เพี้ยนทั้งนั้น ! แม้การสอนเบื้องต้นยังไม่ได้ความ แล้วจะไปพูดกันถึงวิชาชั้นสูงได้อย่างไร ? อ้างว่าเรียนมาร้อยปี อ้างว่าเรียนมากับหลวงพ่อ ถามว่าเคยเปิดตำราตรวจสอบความรู้บ้างหรือเปล่า ? ท่านไม่ตอบคำถาม หลวงพ่อท่านจะมีเวลามาตรวจสอบความรู้ของเราหรือ ? หลวงพ่อเคยสอนจริงแต่เป็นการสอนทั่วไป ไม่ได้มาทบทวนไล่เบี้ย ไม่ได้ตรวจถึงความถูกต้องทางวิชามากนัก ความเพี้ยนของท่านอยู่ที่ตัวของท่าน ไม่เปิดตำราเลย แม้พระสงฆ์ยังต้องลงฟังพระปาฏิโมกข์บ่อยๆ เพื่อตรวจสอบวินัยพระสงฆ์ของท่าน แต่วิชาธรรมกายละเอียดลึกซึ้งกว่า ท่านไม่เปิดตำราทบทวนความถูกต้องเลย นี่คือความเพี้ยนโดยไม่รู้ตัว เป็นอันตรายใหญ่หลวง เพราะมารเขาได้ช่อง วิชาเพี้ยนเมื่อไร ? มารเขาได้ช่องเมื่อนั้น ความรู้ของท่านผิดไปหมด เชื่อไม่ได้แล้ว รู้ญาณใช้ไม่ได้ ท่านยึดมั่นเอาความเพี้ยนเป็นความถูก นี่คืออันตราย !!!

 ๓.           สร้างทีมวิทยากรรณรงค์สอนไปทั่วประเทศ

                เป็นงานที่ทำยาก แต่ข้าพเจ้าก็เพียรทำไปแล้ว ถ้าสร้างวิทยากรไม่ได้ บ่งบอกว่าวิชาธรรมกายจะสิ้นสูญ เราจะมาเก่งคนเดียวไม่ได้ ทุกท่านต้องเก่งกว่าเรา นี่คือคติประจำใจของข้าพเจ้า ต้องให้ทุกคนเก่งกว่าข้าพเจ้าเสมอไป แต่ตอนนี้ยังไม่เก่ง ข้าพเจ้าก็ต้องเก่งไปคนเดียวก่อน ท่านที่ยังไม่เก่งนั้น เป็นเพราะข้าพเจ้ากำลังสร้างเขาอยู่ กำลังสอนเขา กำลังพัฒนาเขา ให้เขาเก่งกว่าข้าพเจ้าให้จงได้ อย่างน้อยต้องเก่งเท่าข้าพเจ้า

                ขณะนี้วิทยากรของข้าพเจ้ามีมากแล้ว สุดแต่วาสนาบารมีของใคร ? ใครมาพบ ? ก็สอนให้เป็นวิทยากรทั้งหมด วิทยากรของข้าพเจ้าไปสอนโรงเรียนใด ? ก็เกิดความอัศจรรย์ที่นั่น มีนักเรียนทำได้เป็นจำนวนมาก  บางโรงเรียนทำเป็นยกชั้นทีเดียว เรียกว่าได้ผล ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าที่ใด ? เมื่อทราบข่าว เขาก็เชิญไปสอน ครูอาจารย์มาตั้งข้อสังเกตชมการสอน ต่างเกิดความเลื่อมใส  แล้วก็ถามว่า ทำไมที่โน่นบวชเป็นหมื่นคนพันคน ? ทำไมสอนไม่ได้ผลเลย ? ข้าพเจ้าก็ตอบแทนเขาไม่ได้ ท่านต้องพิจารณาและสังเกตเอาเอง

                ข้าพเจ้าก็บอกแล้วว่า วิชาธรรมกายเรียนยาก ! ต้องวางรากฐานให้ถูก ถ้าเพี้ยนแล้วก็เพี้ยนเรื่อยไป ก็เมื่อเกิดความเพี้ยนเสียแล้ว การสอนจะได้ผลตรงไหน ? เรียนมาจากอาจารย์เดียวกันแท้ๆ เหตุใดเพียงการสอนเบื้องต้นท่านก็เห็นความต่างกัน ? ไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปที่ใด ? ท่านทั้งหลายก็ถามแต่เรื่องนี้ ข้าพเจ้าตอบยาก เพราะจะเป็นการตำหนิกันเอง เป็นมารยาทที่ข้าพเจ้าไม่สามารถจะตอบได้และไม่กล่าวถึงสำนักใหญ่นั้น หากกล่าวถึง จะเป็นการวิจารณ์กัน จะเป็นการข่มกัน เป็นเรื่องไม่สมควร ข้าพเจ้าจึงไม่ตอบด้วยประการใดๆ

                หากท่านศรัทธาวิทยากรคณะของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จัดไปสอนให้เป็นธรรมทาน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเงิน เกิดความอัศจรรย์ขึ้นในสังคมไทยแล้ว เราถือว่าช่วยสังคมไทย นักเรียนนักศึกษาทำใจให้สว่างใสได้ จนถึงขั้นเห็นดวงธรรมและเห็นกายธรรม ส่งผลให้เธอผู้นั้นเกิดสภาพใจเป็นหิริโอตตัปปะ เกิดความเกรงกลัวต่อการทำบาปทั้งปวง เขาจะห่างจากยาเสพติด เขาจะห่างจากอบายมุขทั้งปวง ไม่มีอะไรช่วยเด็กของเราได้อีกแล้ว มีอยู่ก็แต่ธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้นซึ่งวิทยากรของข้าพเจ้าจะสอนเอง นำปฏิบัติเอง ในเวลาไม่นาน ก็เกิดผลเป็นอัศจรรย์ ขอเชิญโรงเรียนและวิทยาลัยใช้บริการของข้าพเจ้าได้

เหตุใดการสอนเบื้องต้นของข้าพเจ้าจึงเฉียบคมจนเกิดผลเป็นอัศจรรย์ ?

                บัณฑิตทั้งปวงตั้งคำถาม ว่าเหตุใดการสอนของข้าพเจ้าจึงเฉียบคม ? ปรากฏผลการสอนเป็นอัศจรรย์ บัณฑิตทั้งปวงนั้น ได้รับความรู้มาจากสำนักสอนวิชาธรรมกายหลายสำนักแล้ว ไม่ได้ให้ความสนใจในลุงการุณย์ บุญมานุช  แม้แต่น้อย  เนื่องจากลุงการุณย์ บุญมานุช  เป็นฆราวาส  และเป็นผู้ครองเรือนมีกิเลสเหมือนคนทั่วไป แต่เหตุที่ต้องเดินทางไปพบ เกิดจากความประทับใจในตำราวิชาธรรมกายทุกหลักสูตรที่ข้าพเจ้าเขียน ไม่ว่าข้าพเจ้าจะบรรยายความรู้เรื่องใด ? เกิดความชัดเจนและประทับใจ ท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอย่างนั้น มีหลายรายส่งเงินไปเป็นรางวัล บอกว่าอ่านตำราของข้าพเจ้าแล้วประทับใจ จึงส่งเงินไปให้

                เมื่อบัณฑิตทั้งปวงไปพบแล้ว ก็พยายามเรียนรู้ตามวิสัยของผู้เป็นบัณฑิต ทำไมเกจิอาจารย์อื่นสอนไม่เป็นเรื่องเลย ? เมื่อเปรียบเทียบผลงานซึ่งกันและกันแล้ว เปรียบเทียบกันไม่ได้ ท่านกล่าวอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ฟัง ท่านพูดอย่างไร ? ข้าพเจ้าก็ฟังทั้งนั้น แล้วข้าพเจ้าก็แสดงการสอนเบื้องต้นให้ดู ว่ามีวิธีและมีเทคนิคอย่างไรบ้าง ?

ขั้นตอนการสอนความรู้วิชาธรรมกายเบื้องต้น

                (๑.)          ขั้นตอนที่ ๑ เป็นการจัดที่นั่ง ให้นั่งห่างกัน ๑ ศอก                 หัวเข่า                                                   ต้องไม่เกยกัน

                (๒.)         ขั้นตอนวิทยากรเอกกล่าวบรรยาย  การบรรยายต้อง                                                               รวบรัด เพราะเวลาจำกัด

การบรรยายเนื้อวิชา ตามคำสอนข้อ ๓ ที่ว่า การทำใจให้สว่างใสนั้น มีความหมายอย่างไร ? ถ้าสามารถทำใจให้สว่างใสได้สภาพใจจะเกิดความรู้สึกเป็นหิริโอตตัปปะ เกรงกลัวต่อการทำบาป เกรงกลัวอันตรายที่เกิดจากใจเราขุ่นมัว ถ้าสภาพใจเราขุ่นมัวแล้ว ทำบาปได้ทั้งนั้น และถ้าใจมีสภาพมืดมัวแล้ว  ทำบาปได้ทันที  จี้ปล้นได้ทันที  ฆ่าได้ทันที

ใจคืออะไร ? ใจคือ เห็น-จำ-คิด-รู้

การบรรยายเนื้อวิชาภาคปฏิบัติ การจะฝึกให้ใจสว่างใสนั้น มีวิธีฝึกอย่างไร ?

ดูฐาน ๗ ฐาน คือทางเดินของใจ แสดงอุปกรณ์ให้ดูคือภาพฐาน ๗ ฐาน

บรรยายวิธีฝึกว่าทำอย่างไร ? แสดงอุปกรณ์การฝึกให้เห็นทั่วชั้น คือดวงแก้วขาวใส จบการอธิบายวิธีฝึกจริง แล้วเข้าสู่การฝึกจริงทันที

(๓.)         ขั้นตอนการฝึกจริง  หลังจากเข้าใจทางเดินใจตามฐาน

                ต่างๆ แล้ว และดูอุปกรณ์ดวงนิมิตขาวใสแล้ว

วิทยากรผู้บรรยาย สั่งให้นั่งท่าสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ขวาจรดปลายนิ้วหัวแม่มือซ้ายทันที ตั้งตัวตรง คณะวิทยากรร่วมคณะช่วยดูท่านั่งให้ถูกวิธี ใครนั่งไม่ถูกวิธี ? ต้องแก้ไขในขั้นตอนนี้ให้ถูกต้องทั้งชั้น

จากนั้น วิทยากรผู้บรรยายกล่าวนำการฝึกจริงว่า การฝึกใจเพื่อทำใจให้สว่างใสนั้น มีขั้นตอนฝึกอย่างไร ? เริ่มจากการกำหนดนิมิตโดยใจ จากฐานที่ ๑ เข้าสู่ฐานต่างๆ รวม ๗ ฐาน สุดท้ายนักเรียนทำการฝึกจริงมาถึงฐานที่ ๗ คือการภาวนาใจว่า สัมมา อะระหัง ๆ ๆ ๆ

(๔.)       ขั้นตอนการวัดผลการฝึกว่า  ฝึกภาวนาใจมาได้ระยะหนึ่ง ประมาณ ๑๐ นาทีแล้ว  ใครสามารถเห็นดวงใสในท้อง ของตนเองบ้าง? เพื่อวิทยากรผู้ช่วยคือคณะวิทยากรร่วมคณะ  จะได้ต่อวิชาให้เห็นดวงธรรมและเห็นกายธรรมเบื้องต้นต่อไป ขั้นตอนนี้มีเทคนิควิธีมากมาย  ต้องเรียนรู้  และต้องทำความเข้าใจในหลายเรื่อง  หากบรรยายไปก็จะยาวความ

ในขั้นตอนการวัดผลนี้  วิทยากรเอกกับวิทยากร

ผู้ช่วยต้องทำงานหนัก เพราะนักเรียนฝึกได้ผลเป็นระยะๆ ต้องให้ได้จำนวนมากที่สุด เพื่อรวมจำนวนผู้ผ่านการฝึกเบื้องต้นทั้งหมดมาเดินวิชา ๑๘ กายในลำดับต่อไป

ในขั้นตอนการฝึกเพื่อรวมจำนวนผู้ผ่านการฝึกเบื้องต้นนี้ มีการฝึกหลายลีลา ต้องดูว่าผู้รับการฝึกเป็นใคร? เรามีการใช้เทคนิคการฝึกไม่เหมือนกัน เช่น นักเรียนระดับอนุบาล นักเรียนระดับประถมศึกษา นักเรียนระดับมัธยมศึกษา นักศึกษา ข้าราชการ ผู้รักษาศีลอุโบสถ และพระสงฆ์ มีเทคนิคการฝึกแตกต่างกันไป ตามแต่วิทยากรเอกจะนำมาใช้ เพราะการฝึกมีทั้งอิริยาบถนั่ง ยืน เดินจงกรม และนอนแบบสีหไสยาสน์ จะใช้เทคนิคใด ? เวลาเท่าไร ? ในสถานการณ์อย่างไร? หากบรรยายแล้วจะยาวความ รวมความว่า ผู้เป็นวิทยากรต้องเชี่ยวชาญ และการจะเป็นวิทยากรที่เชี่ยวชาญได้ ท่านจะไปเรียนที่ไหน ? ใครจะเป็นผู้ให้ความรู้แก่ท่าน ? นี่คือเรื่องใหญ่ ! เรามีค่าบูชาครูถวายแก่ผู้เชี่ยวชาญผู้นั้น ว่าผู้ฝึกวิทยากรคือใคร?ในประเทศไทยของเรานี้มีใครที่ไหนไหม? เราต้องฝึกวิทยากรให้เชี่ยวชาญ การสอนจึงจะเกิดผลเป็น อัศจรรย์  ยังไม่มีใครที่ไหนทำได้

เลย ? มีก็แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่พากเพียรฝึกวิทยากรให้เกิดความเชี่ยวชาญ  ถ้าทำไม่ได้ จะส่งผลให้วิชาธรรมกายเสื่อมสูญ ดังที่ท่านได้เห็นแล้วในทุกวันนี้ ไม่ว่าที่ใด ? ไม่ว่าสำนักใด ? แม้แต่การสอนเบื้องต้นก็ทำได้ไม่เฉียบ เพราะท่านผู้เป็นเจ้าสำนักเรียนรู้มาน้อย

ถ้าการสอนเบื้องต้นไม่ได้เรื่องแล้ว ไม่ต้องพิจารณาความรู้ระดับสูง เพราะความรู้ของท่านจะเพี้ยนทั้งหมด นี่คือประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้พบ บางท่านศรัทธาในวิชาธรรมกายถึงขนาดอุทิศตนออกบวช  คิดว่าการบวชจะบรรลุเป้าหมายแห่งการเรียนรู้วิชาธรรมกาย เอาเข้าจริง ล้มเหลว ! ความรู้เพี้ยนไปหมด บวชกับไม่บวชไม่มีอะไรต่างกัน ! และถ้าโชคร้ายที่การบวชของเราเกิดไม่ระวังวินัยสงฆ์ ยิ่งจะโชคร้ายโดยที่เราคาดไม่ถึง เป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะวิชา

ธรรมกายนั้นไม่ใช่เรียนง่าย ! ข้าพเจ้าก็บอกแล้ว

ว่าเรียนยาก ! มารเขาคอยจ้องอยู่ทุกเวลา อะไรที่เราจะพังได้ ? อะไรที่เราจะเพี้ยนได้ ? มารมันทำทั้งนั้น วิธีทำของเขาคือสอดละเอียดให้เราผิดวินัยสอดละเอียดให้เราหลงผิดด้วยประการต่างๆ ไม่ให้เราเข้าถึงวิชาเข้าไว้ นี่คือชั้นเชิงของมาร เราจึงได้ข่าวไม่ดีอยู่เนืองๆ แต่แรกก็ว่า เห็นความตั้งใจจริงของท่านแล้ว เราเกิดศรัทธา มีอะไรเราก็ให้ แต่พอไม่นาน ได้ข่าวว่าหลวงพี่เกี่ยวข้องกับสีกาเสียแล้ว

สรุปว่า การสอนขั้นตอนที่ ๔ ทำยาก ต้องใช้เทคนิคและวิธีการมาก เพราะการสอนเป็นศาสตร์และเป็นศิลป์ ศิลป์จะเกิดแก่เรา ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจวิชาถูกต้องเท่านั้น ! เมื่อเราเข้าใจไม่ถูกต้องแล้ว จะหวังอะไรไม่ได้เลย มีหลายคนถามข้าพเจ้าว่า ทำไมลุงการุณย์ บุญมานุช ทำได้ทั้งนั้น ? เชี่ยวชาญไปหมด ข้าพเจ้าก็ตอบว่า ข้าพเจ้าสอนพระสงฆ์มานานปี เกิดประสบการณ์ ส่วนความรู้ไม่ติดขัดนั้น เกิดจากสามัญสำนึก เพราะตำแหน่งราชการของเราคือศึกษาธิการอำเภอ เรามีหน้าที่เกี่ยวกับพระสงฆ์องค์เณร เรามาเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่พระสงฆ์ ถ้าความรู้ของเราไม่ถูกต้อง เราไม่อายพระสงฆ์ท่านหรือ? ท่านถามอะไร ? เราต้องตอบได้ เพราะเราอยู่ในฐานะเป็นวิทยากร ข้าพเจ้าจึงตั้งใจขวนขวายหาความรู้วิชาธรรมกาย อ่านตำราทุกหลักสูตรให้จำได้ บางสูตรไม่เข้าใจเลย แต่ว่าจำสูตรได้ พอมาถึงยุคที่ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมาร สูตรใดที่เราไม่เข้าใจ ? มันเกิดความเข้าใจไปเอง สามารถเขียนตำราขยายความได้ทุกหลักสูตร เพราะปราบมารต้องใช้วิชาชั้นสูง เราต้องทำได้ทุกสูตร เวลานี้หาคนอธิบายวิชาธรรม-กายไม่ได้ทุกสูตร ข้าพเจ้าจึงพยายามอธิบายไว้ในทุกบทและทุกสูตร

(๕.)         ขั้นตอนการต่อเดินวิชา ๑๘ กาย  ขั้นตอนนี้ไม่ยากแล้ว

                (ถ้าหากเรามีเวลาเหลือเฟือ  ก็ให้เดินวิชา ๑๘ กาย  แต่                          ถ้ามีเวลาไม่มากพอ เพียงแค่หลักสูตร ๔ กายธรรมก็พอ)                      เราก็รวมผู้ผ่านการฝึกเบื้องต้นทั้งหมด มารวมในห้องเดียวกัน แล้ววิทยากรผู้ช่วยบอกวิชา ๑๘ กาย เดินวิชาไปทีละขั้น จนบรรลุ ๑๘ กาย ตามวิชา ๑๘ กายที่หลวงพ่อกำหนดหลักสูตรไว้ ท่านถามว่า ทำไมวิทยากรผู้ช่วยสามารถสั่งวิชาได้อย่างคล่องตัว และถูกต้องทั้ง หมด ? เรื่องนี้เราต้องจัดสอบปากเปล่า ใครท่องเนื้อวิชาไม่ได้ ? ถือว่าไม่ผ่าน ใช้ถ้อยคำพลาดเพียงคำเดียวเราก็ไม่ยอมให้ผ่านการสอบ การจะผ่านการสอบได้ ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ต้องท่องจำ แล้วไปสอบกับข้าพเจ้าเอง สรุปแล้ว ไม่มีอะไรง่าย มีแต่ยากๆ ทั้งนั้น ท่านที่จะเป็นวิทยากรได้ ต้องผ่านการสอบ ข้าพเจ้าเป็นผู้สอบเอง เวลานี้มีวิทยากรมากแล้ว ส่งไปสอนทั่วประเทศ เดือนหนึ่งวิทยากรเดินทางไปพบข้าพเจ้าพร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อรายงานผลงานสอนที่ได้ทำไป  ใครไปสอนโรงเรียนใด ? ได้ผลอย่างไร ? จังหวัดใดได้ผลงานอะไร ? ต้องรายงานให้ข้าพเจ้าทราบในที่ประชุมใหญ่ แล้วพวกเราก็อนุโมทนาความดีของวิทยากรจังหวัดนั้น

สรุปว่า การสอนของข้าพเจ้ามาจบลงตรงขั้นตอนที่ ๕ นี้ ถือว่านักเรียนฝึกผ่านขั้นตอนวิชาเบื้องต้นแล้ว หน้าที่ของวิทยากรก็คือ พยายามให้นักเรียนเดินวิชา ๑๘ กายทุกวัน ถือว่าชีวิตนี้เข้าถึงธรรมวิเศษแล้ว นักเรียนของเราจะมีคุณธรรมสำคัญอยู่ในใจของเขาเป็นอัตโนมัติ คุณธรรมข้อนั้นคืออะไร ? ตอบว่าคุณธรรมนั้นก็คือ หิริโอตตัปปะ (ความสะดุ้งหวาดกลัวต่อการทำบาป) นักเรียนของเรามีที่พึ่งทางใจแล้ว เราไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาช่วยคนในชาติของเราได้ดีไปกว่านี้แล้ว ! ความรู้ทั้งปวงที่เราสอนในโรงเรียน เข้าหูขวาออกหูซ้าย เดี๋ยวก็ลืม ! แต่กายธรรมที่นักเรียนฝึกให้เกิดแก่ใจของเขาคราวนี้ จะช่วยดูแลจิตใจของเขาไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ขอแต่ว่าครูอาจารย์ช่วยกันเข้มงวดกวดขันเอามาเป็นธุระ เตือนให้นักเรียนเดินวิชาตามแนวนี้ทุกวัน คนของเราก็เจริญด้วยคุณธรรม ประเทศของเราก็เจริญ เพราะคนของเรามีคุณธรรมอันพึงประสงค์ทั้งนั้น ดังนั้น ผู้บริหารที่ฉลาด ควรสร้างคนของเราโดยวิธีนี้ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ! คณะของข้าพเจ้าไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย เราเข้าไปสอนให้ เพื่อเป็นธรรมทาน เพื่อการกุศลอย่างเดียว นี่คืออุดมการณ์ของเรา ลุงการุณย์ บุญมานุช (อดีตผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดจันทบุรี) ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ไม่เคยมีประวัติเสียหาย ตำราวิชาธรรมกายของข้าพเจ้าทุกหลักสูตรแพร่ไปทั่วประเทศแล้ว และในขณะนี้ไปถึงต่างประเทศแล้ว

ข้อมูลสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือ ตำราวิชาธรรมกายของข้าพเจ้า มีในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนถึง ๒๕ แห่งแล้ว ต่อไปนี้ ถ้าหากท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเข้าสอนในมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยหรือโรงเรียนใด ? ก็ต้องแจ้งความประสงค์ให้ข้าพเจ้าทราบแต่เนิ่นๆ เพื่อข้าพเจ้าจะให้วิทยากรของข้าพเจ้ามาสอนแทนได้ เพราะข้าพเจ้าพูดไม่ได้ เนื่องจากผ่าตัดกล่องเสียงเป็นมะเร็งตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ แม้ว่าข้าพเจ้าพูดไม่ได้ ข้าพเจ้าก็มีวิทยากรฝีมือดี ท่านทำแทนข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดี (ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลขณะที่พิมพ์ต้นฉบับ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔) ขอแนะนำให้รู้จักคือ

นายแพทย์นิพนธ์ หลงประดิษฐ์ (โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ต.แม่กลอง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ๗๕๐๐๐) ขอให้ท่านมีจดหมายติดต่อไปได้ เวลานี้คุณหมอคนเก่งท่านนี้ เป็นผู้นำทัพวิทยากรเข้าสอนตามสถานศึกษาต่างๆ ในหลายจังหวัด ท่านมีวิทยากรสาวสวยไปช่วยอำนวยการสอนจำนวนมากไปสอนที่ใด ? ก็ได้รับคำชม ท่านเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ แต่ให้บริการสังคมด้านการสอนวิชาธรรมกาย โดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ ท่านทำกิจกรรมนี้มานานแล้ว

เรื่องสำคัญก็คือ ให้มหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน ติดต่อท่านแต่เนิ่นๆ เพื่อท่านจะได้จัดคิวให้ ท่านต้องนัดหมายคณะวิทยากรของท่าน เพราะกองทัพของท่านใหญ่มาก หากได้สัมผัสผลงานของท่าน จะเกิดความชื่นชม เป็นนายแพทย์ที่ไม่เหมือนใคร ! ขอให้ท่านช่วยปลีกงานของท่านมาให้บริการให้จงได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกำชับว่า ให้ติดต่อท่านแต่เนิ่นๆ

ข้าพเจ้าขอแนะนำมหาวิทยาลัย  วิทยาลัยและโรงเรียนว่า การจัดนักศึกษานักเรียนเข้าสู่ห้องประชุม ทางสถานศึกษาต้องมาช่วยจัด การจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องเสียง ทางฝ่ายสถานศึกษาต้องช่วยจัดให้ เพื่อให้คุณหมอนิพนธ์และคณะวิทยากรรับผิดชอบแต่งานสอนเพียงอย่างเดียว และให้มีครูอาจารย์มาช่วยกันควบคุมเด็กนักเรียนด้วย มาช่วยสังเกตการณ์ด้วย หากเป็นไปตามนี้ รับรองว่าการสอนได้ผลมาก

เหตุใดสำนักต่างๆ จึงสอนวิชาธรรมกายเบื้องต้นไม่ได้ผล ?

                เป็นคำถามที่ท่านถามข้าพเจ้าตลอดมา ข้าพเจ้าไม่กล้าตอบ เกรงว่าจะเป็นการกระทบกระเทือนกัน เป็นมารยาทที่ไม่ควรกล่าว หากต้องการให้ข้าพเจ้าแสดงความรู้สึกมุ่งประสงค์ความรู้ มุ่งประสงค์ศึกษาค้นคว้า ข้าพเจ้าก็พูดเป็นคำกลางว่า ท่านเรียนมาน้อย ! ท่านเรียนมาเพี้ยน ! ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด เมื่อมาถึงขั้นถ่ายทอด ก็ถ่ายทอดแบบไม่รู้อะไร ? ผลจึงออกมาแบบไม่รู้เรื่องอะไร ? ได้ผลบ้างก็เล็กน้อย ไม่คุ้มแก่การลงทุน สิ่งที่จะเสนอแนะก็คือ ให้เรียนใหม่ วางรากฐานความรู้กันใหม่ ให้ความรู้ถูกต้อง ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้นเป็นลำดับมา และไต่เต้าขึ้นมาจนถึงความรู้ชั้นสูง ตำราทุกหลักสูตรข้าพเจ้าทำให้แล้ว ท่านพร้อมที่จะค้นคว้าแล้วหรือยัง ? อย่าเอาความหลงผิดของเราไปสอน เพราะจะทำให้คนอื่นได้ความรู้เพี้ยนตามเราไปด้วย เป็นอันตรายต่อวิชาธรรมกายอย่างยิ่ง วิชาเบื้องต้นนั้น หากเราสอนไม่ได้ผล ส่งผลกระทบต่อความรู้ชั้นสูงอย่างไร ? ท่านอยากทราบ

                แน่นอน เมื่อพื้นฐานไม่ดีแล้ว ส่งผลกระทบต่อวิชาชั้นสูงทันที ทำให้วิชาชั้นสูงเพี้ยนไปหมด จะว่าผิดก็ผิดไม่หมด จะว่าถูกก็ถูกไม่หมด มันคาบลูกคาบดอก ข้าพเจ้าเคยฟังเทปของคนเก่งท่านหนึ่ง เทปแรกๆ ข้าพเจ้าก็ปลื้มใจว่าความรู้ของท่านพอฟังเป็นทายาทวิชาธรรมกายได้ แต่พอฟังเทปอื่นๆ ไปใหญ่แล้ว เข้าทำนองมารหลอกรู้ลวงญาณแล้ว หาหลักวิชาไม่ได้เลย คนอื่นฟังก็จะว่าท่านเก่ง เอาเด็กมาเป็นคู่เดินวิชา ไปเชื่อเด็กได้อย่างไร ? มารมันพาไปได้ ข้าพเจ้าเคยเห็นตัวอย่างมาแล้วตั้งแต่ครั้งข้าพเจ้าเป็นหนุ่ม เราก็ว่าเด็กผู้นั้นมีบุญ ที่ไหนได้ตอนนี้กลับไปดูเด็กผู้นั้น กลายเป็นว่าเสียไปเลย เชื่ออะไรไม่ได้เลย บังเอิญว่า ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารอยู่ จึงล่วงรู้เรื่องของเด็กผู้นั้นได้ อย่าเชื่อเด็ก ! เราต้องคุม ! อย่างมากก็แค่ให้เดินวิชาหลักสูตร ๑๘ กาย ต่อเมื่อโตขึ้นแล้ว จึงเริ่มฝึกวิชาชั้นสูง การให้เด็กฝึกวิชาชั้นสูง สุดท้ายก็เสียหายทุกคน เป็นความเข้าใจผิดของเกจิอาจารย์อย่างไม่ควรให้อภัยเลย ! ที่ไม่ประสีประสาในการสอน ! สอนเขาส่งเดชไปตามอำเภอใจ สุดท้ายก็เสียหาย

                ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอเตือนเกจิอาจารย์จงระวังในการสอน ขอให้ทุกท่านทบทวนความรู้กันใหม่ วางพื้นฐานความรู้กันใหม่ เพื่อให้เกิดความถูกต้องตั้งแต่วันนี้ โปรดเข้าใจว่า ความเพี้ยนคือมาร ! ความถูกคือพระ ! มารเขามีหน้าที่เข้ามาแทรกซึมปะปนในวิชาธรรมกายในทุกเรื่อง เพื่อเข้ายึดปกครอง ถ้าเขาเข้ามาปะปนวิชาได้ ก็แปลว่าเขายึดอำนาจปกครองได้สำเร็จแล้ว กรณีที่วิชาของเราเพี้ยน ก็แปลว่ามารเขาเข้ามายึดอำนาจทีละนิดแล้ว แล้วเราจะเพี้ยนไปเรื่อยๆ เรายึดมั่นถือมั่นเอาความเพี้ยนเป็นความถูก นี่คือเราพลาดโดยไม่รู้ตัว ภาษาวิชาธรรมกายท่านใช้ว่า มารเขามาหุ้ม-เคลือบ-เอิบ-อาบ-ซึม-ซาบ-ปน-เป็น-สวม-ซ้อน-ร้อยไส้ ใน เห็น-จำ-คิด-รู้ ของเรา วิธีแก้ก็คือหมั่นเปิดตำราเข้าไว้ หมั่นทบทวนตำราอยู่เนืองนิจ

                ขอสรุปว่า การที่สอนเบื้องต้นไม่ได้ผล ต้องทบทวนความรู้กันใหม่ ความรู้เบื้องต้นต้องแม่น หากความรู้เบื้องต้นเลอะเทอะเสียแล้ว ส่งผลกระทบในวิชาชั้นสูงทั้งหมด แค่หลักสูตรเบื้องต้นเรายังสอนไม่ได้ผล เป็นข้อมูลฟ้องตัวเราอยู่แล้ว ควรที่เราจะต้องปรับปรุงอย่างด่วน

    จงจำไว้ว่า วิชาธรรมกายคือวิชาสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นวิชาของผู้ได้มรรคผลนิพพานเขาศึกษาเล่าเรียนกัน แต่ในยุคเราเรียนกันแบบเพี้ยนๆ ก็แปลว่า มารเขาเข้ามาขัดขวางอย่างแรง จนวิชาของเราผิดๆ ถูกๆ มรรคผลนิพพานจึงหวังไม่ได้ ได้ไปก็แต่นิสัยติดตัวไปเท่านั้น เรื่องอะไรที่มารเขาจะปล่อยให้เราผ่านศึกไปง่ายๆ การอ้างว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำก็อ้างกันอย่างนี้ทั้งนั้น อ้างเช่นนั้นฟังได้อย่างไร ? ต้องดูวิชาที่ท่านปฏิบัติว่าตรงตำราที่หลวงพ่อท่านรวบรวมไว้หรือไม่ ? การอ้างเช่นนี้ ก็เหมือนกับเราอ้างถึงพระพุทธองค์ ใครมาบวชในศาสนานี้ ? ก็ปฏิบัติวินัยเหมือนกันทั้งนั้น เมื่อมีความบกพร่องทางวินัยเกิดขึ้น เราอ้างพระพุทธองค์ไม่ได้ ต้องดูว่าเราปฏิบัติตามวินัยสงฆ์หรือเปล่า ? เมื่อเราปฏิบัติบกพร่อง เราก็ต้องลาสิกขา คือสึกออกไป ไปครองเพศฆราวาส แต่การเรียนวิชาธรรมกายนั้นยังไม่มีใครตรวจสอบกติกา ว่าใครปฏิบัติถูกผิดอย่างไร ? ขึ้นอยู่กับตัวเราผู้เรียนเอง ที่จะต้องตรวจสอบความรู้ให้ตรงตำรา ข้าพเจ้าได้แต่หวังดี เห็นว่าพวกเราเรียนกันแบบเพี้ยนๆ จึงฝากคำเตือนไว้ให้พิจารณา เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าตลาดวิชาธรรมกายความรู้เพี้ยนไป แม้แต่การสอนเบื้องต้น เราก็เห็นแล้วว่าไม่ได้ผล แล้วจะไปหวังอะไรกับวิชาชั้นสูง น่าเป็นห่วงมาก

งานปราบมารมาถึงจุดนี้ เป็นเวลากี่ปีแล้ว ?เกิดความคิดอะไรบ้าง ?

                เพื่อให้เกิดข้อคิดแก่ผู้ศึกษาเล่าเรียนในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาเล่าเรียนของคนยุคใหม่ จึงขอบรรยายดังต่อไปนี้

                ขึ้นชื่อว่าวิชาธรรมกายแล้ว ยากทุกหลักสูตร ! ไม่ว่าหลักสูตรใด ? ยากทั้งนั้น ! ยากต่อการเข้าถึง ยากต่อการเรียน ยากต่อการรักษาวิชา ยากต่อการเดินวิชา ไม่ว่าอะไรยากไปหมด ! ถ้าผู้เรียนไม่มีวาสนาบารมี จะเรียนได้ยาก ! เพราะมารเขาเข้ามาปะปนในวิชาของธรรมภาคขาวในทุกรูปแบบ ไม่ใช่เป็นแต่เรา แม้พระพุทธองค์ยังต้องต่อสู้มาตลอด กว่าจะชนะไปได้แต่ละจุด เลือดตากระเด็นทั้งนั้น

                นี่คือประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นตลอดเวลาที่ทำวิชาปราบมารเมื่อปลายปีของ พ.ศ. ๒๕๔๓เป็นการรบในปีที่ ๑๗  ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความเห็นใจนักเรียนรุ่นพี่ ว่าต่อสู้มาอย่างไร ? เห็นใจนักเรียนคนรุ่นเดียวกับข้าพเจ้า และเห็นใจนักเรียนรุ่นน้อง บางท่านอุทิศตนออกบวช เพื่อฟันฝ่าให้เรียนวิชาธรรมกายได้ตลอด เท่าที่ได้เห็นได้รู้มากับตนเอง ข้าพเจ้าเกิดความเห็นใจในเขาทั้งหลายทุกคน ยังไม่มีใครบรรลุเป้า ทั้งที่เขาตั้งใจอย่างดีแล้ว เพราะมารมีฤทธิ์เดชหลอกเราได้อย่างแยบยล จะให้เรามีเงิน มารเขาก็ทำได้ จะให้เราโด่งดัง จะให้ผู้คนหลั่งไหลมา จะให้เรามีอำนาจราชศักดิ์ มารเขาประเคนให้ได้ทั้งนั้น แต่วิชาของเราไม่ไปไหนเลย ! ความรู้ของเราไม่ก้าวหน้า ความรู้ของเราเพี้ยน มารเขาสามารถทำให้เราหลงตัวเองได้ถึงปานนี้ นี่คืออานุภาพของมาร

                มารเขาเก่งปานนี้ นี่เป็นประสบการณ์ที่เราได้พบเห็น เพราะเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นใจต่อทุกคนที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วทุกยุคทุกสมัย ดังนั้น อะไรที่ข้าพเจ้าจะช่วยได้ ? ข้าพเจ้าจะทำ ! ทำเท่าที่ได้ เว้นแต่บางอย่างเกินกำลังของข้าพเจ้า

                ตำราเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องอ่านให้เข้าใจ ทบทวนความรู้อย่าให้เพี้ยนไปจากตำรา ข้อเสียหายของการเรียนในทุกวันนี้ก็คือไม่สอบความรู้กับตำรา นับว่าเป็นความเสียหายใหญ่หลวง เพราะเป็นการแข่งกับมาร วิชาของเราเพี้ยนเมื่อไร ? มารเขาได้ช่องจู่โจมเมื่อนั้น โปรดเข้าใจให้ตรงกันว่า พระสงฆ์ยังต้องลงฟังพระปาฏิโมกข์ เพื่อตรวจสอบศีลของท่าน ว่าศีลยังสมบูรณ์อยู่หรือไม่ ? แต่วิชาธรรมกายละเอียดกว่านั้น ถ้าไม่เปิดตำราก็แปลว่าความรู้เพี้ยนทันที

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป.......